ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ตามปัจจัยประกอบต่างๆที่เกิดขึ้น คาดการณ์ว่าในปี 2563 ตลาดที่อยู่อาศัยจะมีการหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ทั้งในด้านอุปทานและอุปสงค์ โดยอาคารชุดจะหดตัวมากกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบ ส่วนในด้านอุปสงค์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยคาดว่าจำนวนหน่วย และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าในปี 2563 ตลาดที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัดพื้นที่อีอีซี จะมีปัจจัยลบรุมเร้ามากกว่าปัจจัยบวก สาเหตุจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 และภาวะภัยแล้งรุนแรงมีผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศหดตัว ส่งผลให้มีการเลิกจ้างแรงงานจำนวนมากและรายได้ของเกษตรกรลดลง กระทบกับกำลังซื้อที่อยู่อาศัยในวงกว้าง
แม้ว่าในปีนี้จะมีปัจจัยบวกในด้านอัตราดอกเบี้ยขาลง ราคาน้ำมันลดลง มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่มีผลไปถึงสิ้นปี 2563 และมีการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ตาม
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ จึงคาดการณ์ว่า ปีนี้ตลาดที่อยู่อาศัยจะมีการหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ทั้งในด้านอุปทานและอุปสงค์
โดยในด้านอุปทานการขออนุญาตจัดสรรที่ดินคาดว่าจะหดตัว 18% และการออกใบอนุญาตก่อสร้างคาดว่าจะหดตัว 15% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยอาคารชุดจะหดตัวมากกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบ ส่วนในด้านอุปสงค์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยคาดว่าจำนวนหน่วยจะหดตัว 12% และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์จะหดตัวประมาณ 22%
ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินแนวโน้มการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินใน 3 จังหวัดอีอีซีในปี 2563 จะมีจำนวนประมาณ 17,938 หน่วย ลดลงจากปี 2562 ประมาณ 18% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ 16,145-16,938 หน่วยและลดลงจากปี 2562 ระหว่าง -26% ถึง -10%
แนวโน้มการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยคาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 35,166 หน่วยลดลง -15% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ 31,649 -37,275 หน่วยและขยายตัวลดลงระหว่าง-24% ถึง -10% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งมีจำนวน 41,494 หน่วย โดยคาดว่าจะมีการขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยอาคารชุดลดลง -44%
ด้านการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยคาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 44,657 หน่วยลดลง 12% จากปี2562โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 40,191 - 49,123 หน่วย และมีมูลค่า 78,443 ล้านบาทลดลง -22% จากปี 2562 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 70,599 - 86,288 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562