นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผย ถึงภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาว่า ยังคงสามารถดำเนินธุรกิจไปตามแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ ซึ่งตั้งเป้ายอดรายได้ทั้งปี 2563 ไว้ที่ประมาณ 500 ล้านบาท ต่อเนื่องจากปี 2562 ซึ่งบริษัทฯ รับรู้รายได้หลักจากโครงการ ณ วรา เรสซิเดนซ์ (Na Vara Residence) ประมาณ 580 ล้านบาท ขณะปี 2563 บริษัทฯ รับรู้ยอดโอนโครงการ ณ วรา เรสซิเดนซ์ (Na Vara Residence) และ โครงการ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ (Na Veera Phahol-Ari) รวมประมาณ 520 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ยังได้ทำการเปิดตัว โครงการ ณ รีวา เจริญนคร (Na Reva Charoennakhon) ไปเมื่อช่วงต้นปี 2563 ซึ่งได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ปัจจุบันโครงการนี้ได้รับอนุมัติรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีจุดเด่น จากการที่ Dusit Hospitality Services (DHS) จะเข้ามาเป็นพันธมิตรในการให้บริการกับลูกบ้านภายใต้มาตรฐานดุสิต “Guest Service Standards Trained by Dusit“
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ในปี 2563 สถานการณ์โควิด -19 มีผลต่อจังหวะการขายและโอนกรรมสิทธิ์ในบางโครงการ เนื่องจากลูกค้าบางส่วน มีข้อจำกัดในด้านสินเชื่อ ทำให้ต้องนำหน่วยที่ขายหมดไปแล้ว นำออกมาขายใหม่ แต่โดยรวม ยังสามารถผลักดันตัวเลขเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้
" แม้ได้ผลกระทบจากCOVID-19 แต่โดยรวมถือว่ากลุ่มตลาดคอนโดมิเนียมยังคง ไปได้ เนื่องจากความต้องการซื้ออยู่จริงของผู้บริโภคยังคงมี (Real Demand) ผนวกกับมาตรการความช่วยเหลือต่างๆ จากภาครัฐฯ ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนทำให้ผู้ซื้อมีความมั่นใจมากขึ้น ”
โดยปัจจุบันโครงการ ณ วรา เรสซิเดนซ์ คอนโดมิเนียม Low-rise 8 ชั้น บนทำเลหลังสวน จำนวน 96 ยูนิต สามารถปิดการขายได้แล้ว 100% โครงการ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ คอนโดมิเนียม Low-rise 8 ชั้น ในซอยพหลโยธิน 14 ใกล้ BTS อารีย์ จากจำนวน 78 ยูนิต สามารถปิดการขายได้ 80% และล่าสุดกับ โครงการ ณ รีวา เจริญนคร คอนโดมิเนียมสูง 29 ชั้น จำนวนทั้งหมด 253 ยูนิต วิวแม่น้ำเจ้าพระยา บนทำเลเจริญนคร ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับ “Paramount Corporation Berhad” บริษัทฯ อสังหาระดับ Top 10 ของประเทศมาเลเซีย มีแผนเริ่มก่อสร้างปี 2564 คาดจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ปี 2566”
ทั้งนี้ ประเมินว่าสถานการณ์ตลาดอสังหาฯภาพรวมในปี 2564 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงปี 2563 แต่คงไม่หวือหวาเติบโตดีเทียบเท่ากับช่วงปี 2561-2562 เนื่องจากยังมีสต็อกเหลือขายจำนวนมาก ที่ผู้ประกอบการต้องเร่งระบายออกไป ประกอบก้บหลายรายน่าจะยังชะลอการเปิดโครงการใหม่ โดยเฉพาะโปรดักส์กลุ่มคอนโดฯ เนื่องจากผู้บริโภคเปลี่ยนความนิยมไปยังโปรดักส์แนวราบแทน
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2564 นายอภิภู กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาโปรดักส์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ภายใต้คอนเซปต์หลักคือ เน้นเรื่องความ Privacy กับจำนวนยูนิตที่ไม่มาก เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง และคุณภาพของสินค้า (Quality) โดยทุกโครงการจะต้องตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ สามารถเดินทางได้สะดวก ผสานฟังก์ชั่นดีไซน์ที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยทำงานอายุ 35-60 ปี และกลุ่ม Successor ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวสูง และชื่นชอบดีไซน์สวยหรูไม่ซ้ำใคร โดยเตรียมเปิดตัวทั้งหมด 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,500 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 1 โครงการ, คอนโดมิเนียม Low-rise 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม High-rise 1 โครงการ อีกทั้งได้ วางงบสำหรับซื้อที่ดินแปลงใหม่เพื่อที่จะพัฒนาอีก 2-3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท
“เน้นเจาะกลุ่มลูกค้า Mid to High Tier เพราะจากการสำรวจความต้องการของตลาดกลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง กลุ่มผู้ซื้อต่างชาติก็เป็นอีกเป้าหมาย จึงนับเป็นโอกาสที่ดีในการขยายฐานลูกค้าของบริษัทฯ รวมถึงมีแผนงานที่จะพัฒนาโครงการแนวสูงปีละ 1-2 โครงการ และโครงการแนวราบปีละ 2-3 โครงการ”
ทั้งนี้ 3 โครงการที่กำลังจะเปิดขายในปี 2564 ได้แก่ โครงการ ณ ไอรา สายลม-อารีย์ (Na Ira Sailom-Ari) เป็น Vertical Residence สูง 7 ชั้น จำนวนเพียง 5 ยูนิต ตั้งอยู่ในซอยสายลม (พหลโยธิน ซ.8) มูลค่ารวม 220 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 400 ตารางเมตร/ยูนิต ราคาเริ่มต้น 38 ล้านบาท โครงการ รามอินทรา- วงแหวน บ้านเดี่ยว จำนวน 18 ยูนิต มูลค่ารวม 280 ล้านบาท ขนาดพื้นที่เริ่มต้น 60 ตารางวา ราคาขายเฉลี่ย 15 ล้านบาท ทั้ง 2 โครงการจะเริ่มเปิดขายประมาณไตรมาส 1/2564 และคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ บนทำเลหลังสวน 1 โครงการ มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท มีแผนที่จะเริ่มเปิดขายภายในปี 2564 ซึ่งคาดจะมีราคาเปิดตัวไม่ต่ำกว่า 4 แสนบาทต่อตร.ม. โดยเบื้องต้นอยู่ระหว่างการพูดคุยเจราจากับพันธมิตร ที่อาจเข้ามาช่วยยกระดับโครงการให้มีความน่าสนใจ แข่งขันได้เพิ่มขึ้น โดยในปี 2564 ตั้งเป้าเติบโต 10% จากปี 2563 หรือคิดเป็นยอดขายประมาณ 1,000 ล้านบาท อีกทั้ง อยู่ระหว่างการเตรียมแผนงาน เพื่อรองรับการนำบริษัท เข้าไประดมทุน ในตลาดหลักทรัพย์ช่วง 3-5 ปี ข้างหน้าด้วย