นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) เปิดเผยถึง ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 บริษัทมีรายได้รวม 813.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 587.69 ล้านบาท จำนวน 226.20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 38.49 % และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท 30.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 15.30 ล้านบาท จำนวน 14.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 96.72%
ผลประกอบการไตรมาส 2/64 บริษัทมีรายได้รวม 400.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 291.29 ล้านบาท จำนวน 108.78 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 37.34 % และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท 15.77 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 1.82 ล้านบาท จำนวน 17.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 966.65%
แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ยังคงมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ผลประกอบการของบริษัทฯ ยังคงเติบโต สาเหตุที่ผลประกอบการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ มาจากรายได้การส่งออกเฟอร์นิเจอร์ในช่วง 6 เดือน ที่ผ่านมาเติบโต กลุ่มลูกค้าประเทศญี่ปุ่น 21% และสหรัฐอเมริกาเติบโตแบบก้าวกระโดด จากยอดขาย 15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 115 ล้านบาท ประกอบกับการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ส่งออก 64 % และจำหน่ายภายในประเทศ 36 % ของรายได้จากการขายทั้งหมด
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง คาดจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นประกอบกับเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้บริษัทมีปริมาณออเดอร์ส่งออกเฟอร์นิเจอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้ผลบวกจากสถานการณ์ค่าเงินบาทอ่อนตัวด้วย
บริษัทมุ่งเน้นขยายตลาดในประเทศ กระตุ้นยอดขายผ่านช่องทางจำหน่ายใหม่ อาทิ ผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาเอง โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการจำหน่ายผ่านช่องทางดังกล่าวได้ในไตรมาส 4/64 ซึ่งถือเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในประเทศ รวมถึงสร้างความหลากหลายของช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับบริษัท สำหรับตลาดต่างประเทศ ในช่วงที่ผ่านมามีแนวโน้มดีต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของลูกค้าจากอินเดีย
ด้านธุรกิจพลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 220 MW เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ ที่ปัจจุบันรับรู้รายได้เฟสที่ 1 จำนวน 50 MW แล้ว สำหรับเฟส 2 3 และ 4 ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยดำเนินการอย่างต่อเนื่องแม้จะมีสัญญาณความล่าช้าเกิดขึ้นบ้างจากสถานการณ์ COVID-19 และการเมืองภายในเมียนมาร์ โดยคาดว่าการก่อสร้างจะเสร็จสิ้นครบทั้งสี่เฟสภายในไม่เกินสิ้นปี 2565 นี้
ขณะที่ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้คงอันดับเครดิตองค์กรในปัจจุบันของ ECF ไว้ที่ระดับ “BB+” และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตจาก “Negative” หรือ “ลบ” เป็น “Stable” หรือ “คงที่” โดยสะท้อนถึงยอดขายเฟอร์นิเจอร์ของบริษัทที่เพิ่มขึ้น การบริหารจัดการภายในและลดค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มทำได้ดีขึ้น รวมถึงแรงกดดันต่อโครงสร้างหนี้และการกู้ยืมที่ผ่อนคลายลง อันดับเครดิตที่ระดับ “BB+” ยังคงสะท้อนถึงขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพียงพอของบริษัทในตลาดเฟอร์นิเจอร์รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายที่มั่นคงผ่านร้านค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทยและตลาดส่งออก ทริสเรทติ้งกล่าวในเอกสารเผยแพร่เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ที่ผ่านมา