30 มิถุนายน 2565 - นายพีระพล รังสิมานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวนเจอร์ โกลบอล โฮลดิ้ง จำกัด (VGH) กล่าวว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในภาพใหญ่ในมุมมองของบริษัทฯ เห็นว่ายังมีสัญญาณบวกอยู่ 2 เรื่อง 1.สถานะการณ์โควิด-19 เริ่มดีขึ้น และคาดว่าจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติในปี 2566 ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้น ทั้งในภาคการผลิต ภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก ที่หยุดและชะลอในช่วงที่ผ่านมา 2. การลงทุนโครงการใหญ่ ๆ ของภาครัฐ พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมองว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
คาดว่าจะมีต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุน ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อและความต้องการที่อยู่อาศัยในโซนอีอีซี เพิ่มขึ้น ในอนาคตคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรที่จะเข้ามาในพื้นที่ EEC ประมาณ 100,000 คนต่อปี จากปัจจัยทั้ง 2 เรื่องนี้ ในมุมมองของบริษัทฯ เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีในภาคอสังหาริมทรัพย์
คาดว่าจะมีต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุน ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อและความต้องการที่อยู่อาศัยในโซนอีอีซี เพิ่มขึ้น ในอนาคตคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรที่จะเข้ามาในพื้นที่ EEC ประมาณ 100,000 คนต่อปี จากปัจจัยทั้ง 2 เรื่องนี้ ในมุมมองของบริษัทฯ เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีในภาคอสังหาริมทรัพย์
แผนงานที่บริษัทฯ ได้ตั้งไว้ จะขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งแนวราบและแนวสูง ปีละ 1-3 โครงการ เพื่อเป้าหมายนำบริษัทฯ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ภายใน 5 ปี จุดแข็งของบริษัทฯ ด้านเงินทุนที่แข็งแกร่ง ได้ร่วมทุนกับพันธมิตรสิงคโปร์ที่ทำด้านอสังหาฯ ที่สิงคโปร์ด้วย บวกกับมีทีมงานมืออาชีพด้านอสังหาฯ ที่มีประสบการณ์ในวงการนี้มายาวนาน ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าสามารถพัฒนาบริษัทฯ ไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนได้แน่นอน ด้วยวิสัยทัศน์การบริหารงานที่มองว่า อสังหาฯ หมดยุคที่ใช้วิธีทำตามกัน หรือ ทำซ้ำ ๆ ในแบบเดิม ๆ หมดยุคที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ขนาดองค์กรสำคัญน้อยกว่าวิธีคิดและการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วในทุกสถานะการณ์ จะทำให้องค์กรเติบโตได้อย่างยั่งยืนในสภาวะการณ์ปัจจุบัน
นายจักรพันธ์ บำเพ็ญเกียรติกุล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท เวนเจอร์โกลบอล โฮลดิ้งจำกัด (VGH) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ในโซนตะวันออก โดยเฉพาะบางแสน ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอยู่อย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด วัดได้จากความสำเร็จจากยอดขายของโครงการ เดอะเซนโทร คอนโด ที่สร้างเสร็จพร้อมโอน สามารถปิดโครงการได้เร็วกว่าที่คาดเอาไว้ โดยมี 2 อาคาร จำนวน 304 ยูนิต จากมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท
“บริษัทฯ สามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมาย ปิดยอดขายโครงการ เดอะเซนโทร คอนโด ได้เร็วก่อนงานก่อสร้างเสร็จ แม้จะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว จากความสำเร็จที่โครงการทำได้นั้นมาจากการทำวิจัยตลาด การเลือกทำเลที่ตั้ง การวางแผนการทำงานมาอย่างดี การวางรูปแบบโครงการให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ ทั้งเพื่ออยู่เองและการลงทุน” นายจักรพันธ์ กล่าว
ทั้งนี้ จากความสำเร็จด้านยอดขายและปิดโครงการ เดอะเซนโทร คอนโด นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญของบริษัทฯในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างและตรงใจลูกค้า ในทำเล “อมตะ-พานทอง” และโครงการใหม่ ๆ ที่จะพัฒนาต่อจากนี้ในพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี
นายจักรพันธ์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมเดินหน้าสะสมที่ดินเพิ่มเติมสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ต่อเนื่องนับจากนี้ ในพื้นที่อีอีซี ที่เริ่มเห็นสัญญาณการการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เป็นทำเลที่มีศักยภาพและเติบโตทางเศรษฐกิจได้อีกมากในอนาคต โดยการพัฒนาโครงการใหม่นั้นจะมี ทั้งแนวราบและคอนโด เพื่อสร้างความต่อเนื่องของรายได้อย่างยั่งยืน ในเป้าหมายการรับรู้รายได้
เพื่อก้าวสู่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ภายใน 5 ปี
“ความสำเร็จจากโครงการ เดอะเซนโทร คอนโด นำไปสู่การต่อยอดโครงการใหม่ ๆ ที่ทางบริษัทฯ เตรียมตัวเปิดตัว โดยเป็นโครงการแนวราบประเภทบ้านแฝด บ้านเดี่ยว ในโซนอมตะนคร ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาแบบ คาดว่าจะเปิดขายในช่วงต้นปี 2566 รวมทั้งการวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเติมในพื้นที่อีอีซี อีกราว 2-3 โครงการในอนาคต” นายจักรพันธ์ กล่าว