27 ธ.ค.2565 - จากภาพรวมอุปทานคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ สิ้นปี พ.ศ.2565 ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าเป็นอย่างมาก มีทั้งสิ้นจำนวน 55 โครงการ 41,429 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 116,760 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ามากถึงถึง 22,751 ยูนิต หรือคิดเป็นร้อยละ 121.8 ในส่วนของมูลค่าการพัฒนาปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 53,404 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 84.3 จากปีก่อนหน้า
สะท้อนให้เห็นถึงการทยอยฟื้นตัวของตลาด โดยผู้พัฒนารายใหญ่บางรายในตลาดได้กลับมาเปิดตัวโครงการใหม่อีกครั้ง หลังจากชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาและส่วนใหญ่ยังคงเลือกเปิดตัวโครงการใหม่บนทำเลที่ค่อนข้างมั่นใจในกำลังซื้อ และคู่แข่งน้อย เช่น ในบริเวณพื้นที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสถานีใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง สถานศึกษา แหล่งงาน เป็นต้น และพบว่าบางโครงการที่จะมีการนำกลับมาเปิดขายใหม่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีของปี บางโครงการมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงการใหม่เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้ามากขึ้น
บทสรุปปี 65 'อสังหา' ยังคอยต่างชาติ
ล่าสุดนายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เปิดเผยถึง บทสรุปอสังหาฯ ปี 2565 และ แนวโน้มตลาดคอนโดฯ ปี 2566 ว่า 1 ปีที่ผ่านมา กำลังซื้อต่างชาติยังคงเป็นกลุ่มเป้าหมายของผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉพาะโครงการที่ในพื้นที่สุขุมวิท พระราม 9 และรัชดาภิเษกซึ่งเป็นพื้นที่ศูนย์กลางเขตธุรกิจ แม้ว่าผู้พัฒนาหลายรายจะสามารถขายยูนิตในโครงการที่อยู่ในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างให้กับผู้ซื้อชาวต่างชาติ เห็นได้จากยอดขายของคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในช่วงที่ผ่านมา
โดยพบว่า ผู้พัฒนารายใหญ่บางรายมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบห้องในบางโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างโดยการปรับลดยูนิตขายลง ควบรวมบางยูนิตขายเข้าด้วยกัน เพื่อให้มีขนาดใหญ่ขึ้นตามความต้องการของกำลังซื้อโดยเฉพาะกำลังซื้อต่างชาติที่ยังคงให้ความนิยมยูนิตขนาดใหญ่ ซึ่งค่อนข้างได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
โดยพบว่า ในปี2565 ที่ผ่านมาโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานครยังคงได้รับความสนใจร่วมทุนกับพันธมิตร (Joint Venture)กับผู้พัฒนาต่างชาติโดยเฉพาะผู้พัฒนาจากประเทศญี่ปุ่น โดยพบว่าในช่วงไตรมาสที่ผ่านมามีการประกาศแผนการร่วมทุน(Joint Venture) มากกว่า 10 โครงการและส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สุขุมวิท พระราม 4 บางนา และในพื้นที่ย่านอ่อนนุช สาทร เป็นต้น
คาดปี 66 คอนโดลงทุนใหม่ 1.3 แสนล้าน
สำหรับในปี พ.ศ.2566 ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย คาดการณ์ทิศทางของตลาดคอนโดมิเนียมว่า โดยภาพรวมตลาดจะคึกคักอีกครั้ง ซึ่งเราเห็นถึงสัญญาณที่ดีตั้งแต่ในช่วงไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มผ่อนคลายชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงปัจจัยบวกในเรื่องที่การธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตัดสินใจไม่ต่ออายุการผ่อนคลายมาตรการ LTV ซึ่งมีผลต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. 2564 และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธ.ค. 2565 นี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่โควิด-19 ระบาด
อีกทั้ง ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปีพ.ศ. 2566 ซึ่งได้รับการปรับลดลงในอัตรา 15% ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้ ที่ผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ไปเป็นที่เรียบร้อย ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง และมาตราการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่อยู่อาศัยปีพ.ศ. 2566 ลดค่าจดทะเบียนการโอน อสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 1% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัย ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคาร พาณิชย์ และห้องชุด (ทั้งบ้านมือ 1 และมือ 2) เฉพาะราคาประเมินไม่เกิน 3 ล้านบาท
ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยโดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมกลับมาคึกคักมากขึ้นอีกครั้งในปีหน้าส่งผลให้ผู้พัฒนามีความเชื่อมั่นในตลาดคอนโดมิเนียมว่าจะมีการตอบรับที่ดีจากผู้ซื้อดีขึ้น จึงเร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีหน้ากันอย่างคึกคัก ซึ่งฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย คาดการณ์ว่า อุปทานเปิดตัวใหม่ในปีหน้าอาจปรับตัวมาอยู่ที่ประมาณ 45,000 ยูนิต ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากในปีก่อนหน้าประมาณร้อยละ 8.6 มูลค่าการพัฒนากว่า 130,000 ล้านบาท
" ผู้พัฒนาส่วนใหญ่ยังคงเลือกที่จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นนอกหรือในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยเฉพาะช่วงรามคำแหง – ลำสาลี รถไฟฟ้าสายสีเหลือง โดยเฉพาะบริเวณถนนลาดพร้าวและศรีนครินทร์ และรถไฟฟ้าสายสีชมพู โดยเฉพาะถนนรามอินทรา และทำเลย่านบางนา ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่คาดการณ์จะมีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมกันอย่างคึกคักในปีหน้า"