เจแอลแอล บริษัทบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก เผยว่า ขณะนี้นักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ตระหนักถึงปัญหาความท้าทายต่างๆ ที่ต้องเผชิญในปี 2566 โดยเฉพาะความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยและราคาซื้อขาย ซึ่งนักลงทุนมองว่าเป็นตัวแปรหลักที่จะมีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับลงทุนซื้ออาคาร/โครงการอสังหาริมทรัพย์ในเอเชียแปซิฟิก
คาดซื้อขายอาคาร-อสังหาฯ ลดลง
โดยผลสำรวจความคิดเห็นนักลงทุนทั่วโลก ในรายงาน Asia Pacific Investor Sentiment Barometer 2023 เผยว่า 78% ของนักลงทุนมองว่าความไม่แน่นอนของทิศทางราคาซื้อขาย เป็นความท้าทายใหญ่ที่สุดในการกำหนดแผนการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับปีนี้ และ 70% ของนักลงทุนยังเห็นด้วยว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่นอกจากยากจะคาดเดาแล้ว ยังมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศอีกด้วย เป็นความท้าทายที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน
ขณะ 60% ของนักลงทุนเชื่อว่า ปีนี้จะมีการลงทุนน้อยกว่าปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับการประมาณ์การของเจแอลแอล ที่ระบุว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา เอเชียแปซิฟิกมีการลงทุนซื้อขายอาคาร-โครงการอสังหาริมทรัพย์มูลค่ารวม 1.29 แสนล้านดอลลาร์ และคาดว่าปีนี้มูลค่าจะลดลงไปอีกราว 5-10%
ชะลอลงทุน ประเมิน นโยบายดอกเบี้ย
นายร็อดดีย์ อลัน ประธานบริหารฝ่ายวิจัยภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า นักลงทุนเตรียมพร้อมปรับแผนการลงทุนในปีนี้ ตามสถานการณ์ความท้าทายที่เกิดขึ้นทั่วโลกเกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาคและนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลาง
อย่างไรก็ดี การใช้ความระมัดระวังมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่า นักลงทุนหมดความเชื่อมั่นในระยะยาวสำหรับการลงทุนในภูมิภาคนี้ แต่เป็นเรื่องของความจำเป็นที่จะต้องปรับวิธีการ จังหวะเวลา และประเภทของสินทรัพย์ที่จะเข้าลงทุนเพิ่มในระยะต่อไปของปีนี้
ดังนั้น สำหรับปีนี้ นักลงทุนจึงกำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และระดับความเสี่ยงที่จะสามารถยอมรับได้ ทั้งนี้ พบว่า 64% ของนักลงทุนเน้นสินทรัพย์ที่สามารถเข้าซื้อและลงทุนสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 53% ในการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว การสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ การซื้ออาคารเก่าหรืออาคารเกรดรองที่สามารถลงทุนปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้น หรือยกระดับมาตรฐานให้เป็นอาคารเขียว ตลอดรวมไปจนถึงการเข้าซื้อโรงแรมเพื่อปรับเปลี่ยนเป็นอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าในหัวเมืองที่มีที่พักอาศัยไม่เพียงพอรองรับความต้องการของผู้เช่า
คลังสินค้า -โรงแรม หน่วยลงทุนมาแรง
ในส่วนของประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่นักลงทุนสนใจซื้อ พบว่า นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุดแก่อสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มโลจิสติกส์ (โกดัง/คลังสินค้า) ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงของผู้เช่าและมีค่าเช่าปรับสูงขึ้น โดย 64% ของนักลงทุนที่เข้าร่วมการทำแบบสำรวจมีแผนที่จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ในปีนี้
โรงแรมเป็นอสังหาริมทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่มีแนวโน้มได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น หลังมีการยกเลิกมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกประเทศและภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว โดย 32% ของนักลงทุน คาดว่าจะมีการลงทุนซื้อโรงแรมมากขึ้นในปีนี้
ในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน นักลงทุนสนใจการลงทุนในตลาดที่มีเสถียรภาพกว่า อาทิ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ โดย 68% ของนักลงทุนให้ความสนใจลงทุนในญี่ปุ่น และ 60% สนใจสิงคโปร์ ทั้งนี้ โตเกียวมีแนวโน้มที่จะเป็นหนึ่งในตลาดที่มีมูลค่าการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์สูงสุดในปีนี้