ท่ามกลางความท้าทางของเศรษฐกิจโลกและกำลังซื้อที่เปราะบางในประเทศ ส่งผลให้ดีเวลอปเปอร์ หันหัวรบบุกตลาดลักชัวรีมากขึ้นเนื่องจากไม่ต้องเสี่ยงการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และมองหาน่านนํ้าที่มีกำลังซื้อสูงอย่างหัวเมืองท่องเที่ยวใหญ่ นอกจากกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลที่เป็นตลาดใหญ่ เช่นเดียวกับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ผู้นำในอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยของไทย ประกาศแผนปี2567 ให้นํ้าหนักกับโครงการบ้านลักชัวรีมากขึ้น ควบคู่ไปกับการลงทุนโครงการในจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวใหญ่ อย่างภูเก็ต เชียงใหม่
พัทยา หัวหิน เนื่องจากมีกำลังซื้อที่ดีได้อานิสงส์มาจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและภาคบริการฟื้นตัว การเดินทางมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลายและมาตราการรัฐบาลให้ความสำคัญต่อการกระตุ้นท่องเที่ยวการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่นการก่อสร้างและขยายสนามบิน รวมถึงโครงข่ายโครงข่ายถนนในหัวเมืองเศรษฐกิจสำคัญ สร้างความสะดวกสบายในการเดินทางแบบไร้รอยต่อ
ขณะปัจจัยที่น่าห่วง นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SIRI สะท้อนว่า คือ ภูมิรัฐศาสตร์สงครามที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศไทยโดนหางเลขส่งออกไม่ดี หากไม่มีสงครามการสู้รบ ไม่ขึ้นดอกเบี้ย น่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศไทยดีขึ้น ซึ่งส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยยังเติบโตได้ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจดีหรือไม่ดีอยู่ที่จีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ) หากจีดีพีประเทศดีเชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์น่าจะเติบโตตามทั้งนี้โดยมองว่าหากจีดีพีประเทศอยู่ที่ 5% จะถือว่าเศรษฐกิจดี ซึ่งต้องใช้เวลาพลิกฟื้นค่อยเป็นค่อยไป
สำหรับแผนลงทุนยังต้องเดินหน้าต่อเนื่อง สร้างความเติบโตต่อเนื่อง ผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์ตรงตามความความต้องการของตลาด เพิ่มสัดส่วนโครงการบ้านลักชัวรีมากขึ้น และลงทุนโครงการในหัวเมืองหลักทั่วประเทศ
นายอภิชาตกล่าวว่าปีนี้เป็นปีที่แสนสิริก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 ผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง ล่าสุดช่วงสถานการณ์โควิดซึ่ง สามารถผ่านมาได้ด้วยดีและสร้างการเติบโตต่อเนื่องโดยปีนี้มีเป้าหมายกำไรสุทธิคาดว่ามีผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบ 40 ปี
ต่อเนื่องจากปี 2566 ที่บริษัทเปิด 44 โครงการมูลค่ารวม 65,000 ล้านบาท สร้างสถิติใหม่ ALL-Time High เติบโตจากปีก่อนหน้า 50% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 10 เท่า ครอบคลุมทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ทุกเซ็กเมนต์ระดับราคาและทุกทำเล
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ SIRI เสริมว่า ปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัว 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท ในกรุงเทพ มหานครและ ปริมณฑล จำนวน 33 โครงการ มูลค่า 45,000 ล้านบาทและต่างจังหวัด 13 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน อยุธยา ฉะเชิงเทรา โดยโครงการใหม่แบ่งเป็นแนวราบ 26 โครงการ มูลค่า 35,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท
โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 52,000 ล้านบาท แยกเป็นคอนโดมิเนียม 21,000 ล้านบาท แนวราบ 31,000 ล้านบาทและเป้าหมายยอดโอนที่ 43,000 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 13,000 ล้านบาท และแนวราบ 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่เปิดตัว 44 โครงการ มูลค่ารวม 65,000 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 14 โครงการ มูลค่า 18,000 ล้านบาท แนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 47,000 ล้านบาท มียอดขาย 49,000 ล้านบาท และยอดโอน 39,000 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 13,000 ล้านบาท และแนวราบ 26,000 ล้านบาท โดยสามารถปิดการได้ 28 โครงการ มูลค่ารวม 51,000 ล้านบาท
ขณะ ไฮไลต์ในปีนี้ ในส่วนของแนวราบจะเพิ่มบ้านลักชัวรีมากขึ้น เช่น นาราสิริ บางนา กม.10 มูลค่า 3,800 ล้านบาท เริ่มต้น 55-120 ล้านบาท ต่อยอดแบรนด์เศรษฐสิริรวม 7 โครงการ มูลค่า 14,400 ล้านบาท สราญสิริรวม 6 โครงการ มูลค่า 9,100 ล้านบาท และอณาสิริรวม 4 โครงการ มูลค่า 4,100 ล้านบาท พร้อมเปิด 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ณริณสิริ บ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมโครงการแรก ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา มูลค่า 1,800 ล้านบาท เริ่มต้น 45-70 ล้านบาท และ มาเบิล บ้านเดี่ยวราคา 5-7 ล้านบาท ที่บางนา 26 มูลค่า 850 ล้านบาท และ Else (เอลส์) ราคา 20-60 ล้านบาท มูลค่า 840 ล้านบาท
ส่วนคอนโดมิเนียมมองว่าตลาดกลับมาฟื้นตัวที่ดี โดยเฉพาะหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญโดยปีนี้วางแผนเปิด 20 โครงการมูลค่า26,000 ล้านบาทโดยมี ไฮไลต์ คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ได้แก่ เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน มูลค่า โครงการ 4,100 ล้านบาท Branded Residence แห่งแรกในเอเชียและแห่งที่ 3 ของโลก ภายใต้เดอะ สแตนดาร์ดแบรนด์บูทีคโฮเทลและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก
ส่วนแผนซื้อที่ดินเพื่อลงทุนต่อเนื่องในปี 2568 ปีนี้ตั้งงบ ไว้ที่10,000 ล้านบาท และมีแผนเปิดรับพันธมิตรร่วมลงทุนทั้งนักลงทุนไทย และต่างชาติ เช่น จีน ญี่ปุ่น รวมถึงเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ ที่อยู่ระหว่างการเจรจา ส่วนตลาดต่างชาติ ตั้งเป้ายอดขาย 7,000 ล้านบาท เติบโต 15% เมื่อเทียบจากปี 2566 มียอดขาย 6,100 ล้านบาท โดยลูกค้าหลักยังเป็นจีน รัสเซียและปีนี้เชื่อว่าลูกค้าจีนจะกลับมามากขึ้น
นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ SIRI กล่าวว่า ปีนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีปัจจัยความท้าทายต่อเนื่องจากปี 2566 คือ อัตราดอกเบี้ย หนี้ครัวเรือน ฯลฯแต่ทั้งนี้ บริษัทมี 3 กลยุทธ์ให้ ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ 1. รักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสมํ่าเสมอ เพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้นโดยเฉพาะโครงการแนวราบ และ
การใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สูง สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิที่ 4,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้น จากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่องจากสถิติการจ่ายปันผลที่มาพบว่า Dividend Yield ปีล่าสุด 2566 อยู่ที่ 12.4%
2.บริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล สร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขัน ก่อนพิจารณาเปิดโครงการใหม่ในแต่ละครั้ง เน้นวินัยการลงทุน เมื่อรวมโครงการเปิดใหม่ในปีนี้ แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 146,000 ล้านบาท จะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า พร้อมสานต่อโมเดลแสนสิริ คอมมูนิตี้ อีก 4 คอมมูนิตี้ ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา, บางนา กม. 10, ศรีวารี และวงแหวน-ลำลูกกา
3. ยกระดับคุณภาพของสินค้า บริการ และความยั่งยืน ให้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย สอดคล้องกับโครงการในระดับกลางและบนที่มีการเปิดตัวมากขึ้น