กลุ่มอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย โตแข็งแกร่งจากดีมานด์โรงงาน - คลังสินค้าที่เพิ่มขึ้น ด้วยกระแส FDI และภาคการผลิตขยายตัว ปูพรมการดำเนินงาน 4 มิติผลักดันการเติบโต ครอบคลุม Solutions, Services, Sustainability และ Smart & Innovation เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการคุณภาพสูงให้กับลูกค้า พร้อมรุกขยายธุรกิจไปตลาดภูมิภาคมากขึ้น ทั้งในอินโดนีเซียและเวียดนาม เล็งลงทุน 25,000 ล้านบาท ปักธง 5 ปี ขยายพื้นที่ภายใต้การบริการจัดการพุ่งสู่ 5 ล้านตร.ม.
นายพีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าเติบโตและมีดีมานด์ต่อเนื่อง ปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ซึ่งเป็นผลจากประเด็นภูมิรัฐศาสตร์โลก รวมถึงมีดีมานด์เพิ่มขึ้นจากภาคการผลิต
โดยบริษัทฯ วางกลยุทธ์การสร้างธุรกิจให้แข็งแกร่งทั้งในไทยและระดับภูมิภาค ตอกย้ำการเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ด้วยพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการ 3.55 ล้านตร.ม. ซึ่งจะมีแผนงานขับเคลื่อนการเติบโตใน 4 มิติหลัก ดังนี้
1. Solutions : ครบครันด้วยโซลูชันสินค้าที่หลากหลาย
ส่งมอบโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าคุณภาพสูง ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกรูปแบบ ได้แก่ แบบพร้อมใช้ (Ready-Built) แบบสร้างความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) และใหม่ล่าสุดกับแบบสร้างตามฟังก์ชันพร้อมใช้ (Built-to-Function) ด้วยนวัตกรรมการพัฒนาอาคารอุตสาหกรรมที่ผสมผสานระหว่าง Ready-Built และ Built-to-Suit โดยเป็นอาคารสำเร็จรูปที่เสริมฟีเจอร์ใช้งานเฉพาะทาง
โดยบริษัทฯ มีพื้นที่ให้บริการหลายโลเคชัน ทั้งเขตทั่วไป (General Zone) และเขตปลอดอากร (Free Zone) ในทำเลยุทธศาสตร์สำคัญด้านอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์กว่า 50 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังมีแผนใช้ที่ดินภายใต้การบริหารจัดการพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าเพื่อขาย ซึ่งเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าและเป็นการขยายการดำเนินงานของบริษัทฯ เพิ่มเติมจากธุรกิจให้เช่าโรงงานและคลังสินค้า
2. Services : อัดแน่นด้วยบริการครบวงจรอย่างมืออาชีพ
มีทีม Property Management ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูงในการดูแลทรัพย์สิน และทีมงานให้คำปรึกษาลูกค้าในการติดต่อกับหน่วยงานรัฐ อาทิ BOI, นิคมอุตสาหกรรม, กรมศุลกากร เพื่อให้การดำเนินงานของลูกค้าเป็นไปด้วยความสะดวก พร้อมด้วยการเดินหน้าอัปเกรดโรงงานและคลังสินค้าผ่านการยกระดับคุณภาพอาคาร (Asset Enhancement Initiative: AEI) ทั้งดีไซน์ที่ทันสมัย ผสานฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์การดำเนินงานหรือธุรกิจของลูกค้ามากขึ้น
รวมถึงยกระดับคุณภาพโลจิสติกส์พาร์ค (Park Enhancement Initiative: PEI) ภายในในเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โลจิสติกส์ พาร์ค โดยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้ใช้งานโรงงานและคลังสินค้าในโครงการผ่านการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งสนามฟุตบอล ลู่วิ่ง และพื้นที่พักผ่อนสำหรับคนขับรถบรรทุก เป็นต้น
3. Sustainability : ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวทางความยั่งยืน
ตั้งเป้าพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าที่เป็นอาคารใหม่ พร้อมอัปเกรดอาคารเดิมให้ได้มาตรฐานอาคารเขียวระดับประเทศและสากล ทั้ง LEED, EDGE และ TREES ควบคู่กับการใช้พลังงานสะอาดอย่างการติดตั้ง Solar Roof, EV Charger และมี Smart Metering System สำหรับตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงาน
4. Smart&Innovation : ดึงเทคโนโลยีอัจฉริยะเสริมแกร่งการดำเนินงาน
พัฒนาแพลตฟอร์มที่ผสมผสานเทคโนยีสมัยใหม่เข้าไว้ด้วยกันสำหรับการพัฒนาโครงการ การดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ บริหารงานด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนมีแอปพลิเคชัน FlexFix ตอบโจทย์งานซ่อมบำรุงที่สามารถตอบสนองผู้เช่าได้ทันที
ครึ่งปีแรกของปีงบการเงิน 2567 (ตุลาคม 2566-มีนาคม 2567) บริษัทฯ ได้ส่งมอบพื้นที่ให้กับลูกค้าไปแล้วประมาณ 50,000 ตร.ม. เป็นอาคารคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit และ Built-to-Function รวมถึงโครงการ AEI ที่ได้เข้าไปยกระดับและพัฒนาอาคารเพิ่มเติมให้กับลูกค้า
พร้อมทั้งมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและเตรียมส่งมอบในครึ่งปีหลัง (เมษายน-กันยายน 2567) ทั้ง Last Mile Warehouse พื้นที่ 21,000 ตร.ม.บนทำเลปู่เจ้าสมิงพราย จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อรองรับ City Logistics และโรงงานพื้นที่ประมาณ 65,000 ตร.ม. สำหรับลูกค้าธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ในบินห์เดือง โลจิสติกส์ พาร์ค ประเทศเวียดนาม
ซึ่งทั้งหมดจะผลักดันพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มเป็นกว่า 3.6 ล้านตร.ม. โดยบริษัทฯ เดินหน้าขยายการลงทุนในไทย อินโดนิเซีย และเวียดนาม อย่างต่อเนื่อง
เชื่อมั่นว่า แม้จะมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาดหลายราย แต่บริษัทฯ จะขับเคลื่อนการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเตรียมงบลงทุน 25,000 ล้านบาทในการขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มเป็น 5 ล้านตร.ม.ภายใน 5 ปี พร้อมด้วยการเพิ่มพื้นที่ที่ผ่านมาตรฐานอาคารเขียวเป็น 4 ล้านตร.ม. ซึ่งพิสูจน์ถึงความสำเร็จในการเป็นผู้นำกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี
หากถามถึงปัจจัยบวกจากนโยบายกระตุ้นอสังหาฯ ล่าสุดที่จะออกโดยรัฐบาล อย่างการเพิ่มโควต้าให้ต่างชาติสามารถถือครองห้องชุดได้ 75% หรือขยายระยะเวลาเช่าซื้อเป็น 99 ปีนั้น นายพีระพัฒน์ มองว่า ถึงแม้จะไม่ได้ส่งผลบวกกับตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมโดยตรง แต่ในระยะยาวจะดึงดูดการลงทุนเข้ามาในประเทศ ส่งเสริมให้มีผู้ประกอบการย้ายมาตั้งฐานการผลิตและนำไปสู่การเข้ามาของบุคลากรจากแต่ละบริษัท ซึ่งนับว่าจะเพิ่มการจูงใจให้บริษัทต่างชาติมีส่วนในการเลือกเมืองไทยเป็นฐานการผลิตมากขึ้น