แสนสิริ โชว์ฟอร์มครึ่งปี กวาดรายได้ 2 หมื่นล้าน พร้อมจ่ายปันผล 0.07 บาท/หุ้น

15 ส.ค. 2567 | 13:19 น.
อัพเดตล่าสุด :15 ส.ค. 2567 | 13:36 น.

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 2567 เป็นไปตามเป้า ด้วยยอดขาย 25,000 ล้านบาท รายได้รวม 20,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,700 ล้านบาท พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.07 บาทต่อหุ้น

นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ผลประกอบการรอบ 6 เดือนแรกของปี 2567 เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมียอดขายรวม 25,000 ล้านบาท คิดเป็น 48% ของเป้าทั้งปีที่ 52,000 ล้านบาท 

ด้านรายได้ทำได้ 20,000 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปีที่ 43,000 ล้านบาท เติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 2,700 ล้านบาท

มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2567 โดยไตรมาส 1 กำไรสุทธิ 1,315 ล้านบาท และไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 1,387 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาด้านกำไรสุทธิจากธุรกิจหลัก (Core Profit) พบว่าเติบโตขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน

วิชาญ วิริยะภูษิต

ทั้งนี้ ความสำเร็จในครึ่งปีแรกมาจากการ Sold Out รวม 19 โครงการ มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท อาทิ BuGaan (บูก้าน) พระราม 9-เหม่งจ๋าย, เศรษฐสิริ กรุงเทพ-ปทุมธานี, เอ็กซ์ที เอกมัย เป็นต้น

รวมถึงการเปิดตัว Business Model ใหม่ Exclusive Residence ที่ตอบโจทย์ลูกค้า Niche Market ด้วยโครงการขนาดเล็ก บน Prime Location ซึ่งประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างรวดเร็ว เช่น ELSE (เอลซ์) กรุงเทพกรีฑา และ PYNN (พินน์) เริ่มโครงการแรกที่ PYNN ปรีดี 20 โดยมียอดขายแล้วถึง 80%

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดโครงการใหม่ใน Strategic Location ในจังหวัดเชียงใหม่ที่ได้รับการตอบรับที่ดี อาทิ อณาสิริ พายัพ ที่เปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ สร้างยอดขายไปถึง 50% ของโครงการ  และเศรษฐสิริ รวมโชค เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมีนาคม สามารถปิดการขายเฟสแรกหมด 100%

และ mekin HAUS (เมคิน เฮาส์) แบรนด์ HAUS โครงการแรกในเชียงใหม่และต่างจังหวัด คอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้แห่งแรกในเชียงใหม่ ก็ได้รับการตอบรับที่ดี

รวมถึง พอร์ตบ้านเดี่ยวเติบโตแข็งแกร่งจากโครงการระดับลักซ์ชัวรีและซูเปอร์ลักซ์ชัวรี โดยเฉพาะนาราสิริ กรุงเทพกรีฑา และนาราสิริ พหล-วัชรพล ขณะที่แบรนด์ "เศรษฐสิริ" ขยายสู่ 4 ทำเลใหม่ ได้แก่ ราชพฤกษ์ รามอินทรา บางนา และดอนเมือง ด้านคอนโดมิเนียมมีรายได้จากการโอนโครงการต่างๆ รวมถึงแคมเปญการตลาดที่เข้มข้น

ด้านส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Joint Venture มีการเพิ่มขึ้นจากการโอนคอนโดมิเนียมเดอะ ไลน์ ไวบ์ ที่ร่วมทุนระหว่างแสนสิริและแรบบิท โฮลดิ้งส์ มูลค่า 4,400 ล้านบาท โดยทำเลตรงข้ามเซ็นทรัลลาดพร้าว มียอดขายแล้วกว่า 70% สะท้อนความสามารถในการทำกำไรและการเติบโตท่ามกลางความท้าทายของวงการอสังหาริมทรัพย์

มากไปกว่านั้น บริษัทยังคงรักษาระดับการเติบโตและการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลให้แสนสิริติดอันดับ 1 ในหุ้นกลุ่ม SETHD ที่จ่ายปันผลสูง

โดยล่าสุดมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 สิงหาคม 2567 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 11 กันยายน 2567

สำหรับแผนครึ่งปีหลัง แสนสิริเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 26 โครงการ มูลค่ารวม 38,700 ล้านบาท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัวแบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ "ณริณสิริ" (Narinsiri) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับพรีเมียม ราคาราว 40-80 ล้านบาท (ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา และณริณสิริ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา) และ "เมเบิล" (Mabel) ทำเลแรกเมเบิล บางนา 26 จำนวน 105 ยูนิต ราคา 6–8 ล้านบาท 

ด้านคอนโดมิเนียมยังเดินหน้าเปิดตัว Affordable Condo แบรนด์ดีคอนโดอย่างต่อเนื่อง เจาะทำเลคอมมูนิตี้ใหญ่ ใกล้มหาวิทยาลัย ใกล้แหล่งงาน มีดีมานด์ความต้องการคอนโดมิเนียมสูง 

รวมถึงการเปิดตัวคอนโดมิเนียมในย่าน CBD  อย่าง เวีย 61  ซึ่งเป็นแบรนด์ภายใต้ Aesthetic Collection ส่วนอีกหนึ่งโครงการใหม่จากซีรีส์ One of a Kind Project บนทำเลสุขุมวิท 36 และในช่วงสิ้นปี แสนสิริเตรียมเปิดโปรเจกต์ใหญ่ในภูเก็ต บนย่านบางเทา-เชิงทะเล อีกด้วย

แสนสิริ โชว์ฟอร์มครึ่งปี กวาดรายได้ 2 หมื่นล้าน พร้อมจ่ายปันผล 0.07 บาท/หุ้น จากภาพรวมทั้งหมด รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มากกว่าครึ่งปีแรก แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 127,000 ล้านบาท ส่งผลให้การดำเนินงานทั้งในด้านยอดขายและรายได้เติบโตต่อเนื่อง และเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

นอกจากนี้ แสนสิริยังได้รับรางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand 2024 และรักษาตำแหน่ง No. 1 Thailand Social Awards คะแนนสูงสุดในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์และความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค