KUN  วอน รัฐบาลใหม่ ช่วย SMEs ถมทะเลบางขุนเทียน อสังหาฯ-ท่องเที่ยวได้อานิงส์

24 ส.ค. 2567 | 06:10 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ส.ค. 2567 | 06:36 น.

KUN  วอน รัฐบาลชุดใหม่ ช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจ SMEs นโยบายถมทะเลบางขุนเทียน วิชั่น "ทักษิณ" อสังหาฯ-ท่องเที่ยวได้อานิงส์

ภาคอสังหาริมทรัพย์มีความหวังจากรัฐบาลแพทองธาร เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนโยบายที่จะขับเคลื่อน ภายหลังจากตั้งคณะรัฐมนตรี(ครม.) เดินหน้าสานต่อนโยบายต่อจากรัฐบาลเศรษฐา ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว

ประวีรัตน์ เทวอักษร

นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด(มหาชน) หรือ KUN เปิดเผยว่า การที่มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ มองว่าเป็นรัฐบาลที่มีความยั่งยืน และในฐานะที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ต้องการให้กำลังใจและต่อสู้สิ่งที่มุ่งมั่นให้สำเร็จ

หากมีการดำเนินนโยบายครบทั้ง 12 ข้อ ตามที่ได้หาเสียง ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฉายวิชั่น จะส่งผลดีต่อทุกภาคธุรกิจอย่างแน่นอน ทั้งนี้อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ ช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจ SMEs ด้วย ซึ่งจะช่วยเหลือลูกค้าโครงการเป็นอย่างมาก

 

 

 

เนื่องจากจะมีการเปิดตัวโครงการ “นาวาร่า พระราม2- บางขุนเทียน” ในปลายปี 2567 นี้ ซึ่งจะทำให้โครงการดังกล่าวมียอดขายที่ดีมากขึ้น และ หากภาครัฐสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เป็นรูปธรรมและเป็นระบบได้ก็จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น

โครงการบ้านหรู

รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่สบายกว่าเดิมด้วยการลดหนี้สินที่มีอยู่ เพื่อที่จะสามารถมีเงินนำมาซื้อที่อยู่อาศัยได้

ส่วนการที่มีนโยบายถมทะเลบางขุนเทียนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็เป็นสิ่งที่ดี จะทำให้บริษัทได้รับอานิสงส์ เนื่องจากจะมีการเปิดตัวโครงการ “นาวาร่า พระราม2- บางขุนเทียน” ในปลายปี 2567 นี้ ซึ่งจะทำให้โครงการดังกล่าวมียอดขายที่ดีมากขึ้น

หากภาครัฐสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เป็นรูปธรรมและเป็นระบบได้ก็จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น

ล่าสุดเปิดตัวโครงการ "นาวาร่า รังสิต-คลองสอง” (เดิมเป็นโครงการเก่าที่พัฒนาโดยบริษัท แนเชอรัลพาร์ค จำกัด (มหาชน)หรือ NPARK (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) เมื่อประมาณปี 2539 ที่พัฒนาไปได้ 200 กว่าแปลง

จากทั้งหมด 1,101 แปลง พื้นที่ 336 ไร่ และภายหลังได้กลายเป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)หรือ BAM

ต่อมาบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) ก็ได้ใช้บริษัทลูกเข้าไป ซื้อสินทรัพย์จาก BAM เป็นแปลงเล็กๆครั้งละประมาณ 5-10 แปลง พัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์สราญสิริ) ซึ่งวิลล่าคุณาลัยได้ซื้อต่อมาจาก BAM จำนวน 886 แปลงที่เหลือ

เมื่อเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาโครงการแนวราบให้ครบ 4 ทิศของกรุงเทพฯตามแผนที่วางไว้ ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวถือเป็นทิศที่ 4 คือทิศเหนือ และมองว่าทำเลดังกล่าวยังมีช่องว่างในการทำตลาดระดับราคา 5-10 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยประมาณ 80,000 บาท/ตารางวา

 “นาวาร่า รังสิต-คลองสอง” จะแบ่งการพัฒนาออกเป็น 8 เฟสๆละประมาณ 119 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการกว่า 6,700 ล้านบาท  โดยเฟสแรกซึ่งอยู่แปลงด้านหน้าสุด จะมีเพียง 64 แปลงเท่านั้น ซึ่งได้เปิดพรีเซลไปเมื่อเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา เป็นบ้านเดี่ยว ขนาดที่ดินตั้งแต่ 64-90 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 4.59-10 ล้านบาท 

ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 34 ยูนิต โดยโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว 12 ยูนิต และเดือนสิงหาคมนี้ จะโอนกรรมสิทธิ์อีกประมาณ 15 ยูนิต ซึ่งสัดส่วนประมาณ 50% ลูกค้าจะซื้อด้วยเงินสด คาดว่าทั้งโครงการจะใช้ระยะเวลาในการขายและพัฒนาประมาณ 12 ปี

“การพัฒนาโครงการของเราอาจจะแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น ด้วยความที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ก่อนวิกฤติ 2540 ดังนั้นจึงไม่รังเกียจที่จะซื้อโครงการเก่า แต่มีศักยภาพมาพัฒนาใหม่ ซึ่งทำให้ได้เรียนรู้ว่า การพัฒนาโครงการนั้นเป็นสิ่งที่ยากแล้ว แต่การที่จะมุ่งมั่นและรักษาสิ่งสำคัญนั้นยากกว่า และใช้อุปสรรคเหล่านั้นเป็นแรงบันดาลใจในการหาที่ดินหรือโครงการรกร้างต่อไปในอนาคต” นางประวีรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้ปี 2567 นับเป็นรอบ 5 ปี รอบที่ 2 ของวิลล่า คุณาลัย โดยในรอบ 5 ปีแรก (2561-2565) บริษัทมุ่งเน้นที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai)จากกระดมทุน และการสร้างแบรนด์วิลล่า คุณาลัยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

ผ่านการขยายพื้นที่การพัฒนาโครงการจากย่านบัวทองไปสู่ 4 มุมเมืองของกรุงเทพฯ ได้แก่ โซนตะวันตก ทำเลบางบัวทอง ,โซนตะวันออก ทำเลบ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ,โซนใต้ ทำเลพระราม 2 และ โซนเหนือ ทำเลรังสิต คลอง 2 ทำรายได้แตะ 2,000 ล้านบาท

ส่วนรอบที่ 2 (2566-2570) บริษัทตั้งเป้าเติบโตจากตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai)  ไปสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และคงรายได้ที่ 1,000 ล้านบาทต่อปี และสร้างผลกำไรสุทธิ 12-15% (ยกเว้นปี 2566 ที่รายได้เหลือ 720 ล้านบาท เนื่องจากลูกค้ามียอด Reject ที่สูง)

โดยมุ่งเน้นพัฒนาโครงการด้วยแนวคิด “สุขใจอยู่บ้านชานเมือง” เจาะตลาดบ้านชานเมืองใกล้ชิดธรรมชาติราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป  เนื่องจากเดิมบริษัทมุ่งเน้นพัฒนาโครงการบ้านในระดับราคา 2-5 บ้านบาท ย่านบางบัวทอง 

คิดเป็นสัดส่วน 60% ของพอร์ตบริษัท ซึ่งเป็นระดับราคาที่ประสบปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อสูง 40-50% และมีการแข่งขันด้านราคาในตลาดสูง  โดยในช่วงปี 2566 บ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท มียอด Reject ประมาณ 35% และในไตรมาส 2/2567 ยอด Reject เพิ่มสูงเกือบ 40%

โดยหลังจากการพัฒนาโครงการเพิ่มครบ 4 มุมเมือง จะทำให้ในปี 2567 บริษัทจะมีสินค้าระดับราคา 2-5 ล้านบาท ในสัดส่วน 40% ขณะที่มีสินค้าระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป 60% ขณะที่บ้านนอกพื้นที่นนทบุรี มีสัดส่วน 40% และในปี 2567 หลังจากที่สร้างแบรนด์ “นาวาร่า”ขึ้นมา ก็ปรับสัดส่วน บ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาท เป็น 60% และบ้านในพื้นที่นนทบุรี สัดส่วน 40%

“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราได้ลดบทบาทบ้านระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท เพราะมียอด Reject ที่สูง ขณะเดียวกันตลาดดังกล่าวมีการแข่งขันที่สูง ทำให้มีการแข่งขันด้านราคา เพื่อระบายสต๊อก ส่งผลให้พอร์ตมีความเสี่ยงในเรื่องของการทำกำไร และเมื่อมีแบรนด์ ‘นาวาร่า’มาทำตลาดก็สามารถสร้างผลกำไรได้ตามที่คาดหวัง”นางประวีรัตน์ กล่าว

ปัจจุบันบริษัทฯมีแผนที่จะพัฒนาโครงการใน Pipeline 9 โครงการ มูลค่า 14,000 ล้านบาท พัฒนาได้ 10 ปีนับจากนี้ และมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการไปจนถึงปี 2570 โดยขณะนี้มีที่ดินย่านบางบัวทอง เหลือ 1 แปลง

พื้นที่ประมาณ 38 ไร่ และที่อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ประมาณ 4 ไร่ หากต้องการพัฒนาสามารถซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงเพิ่มได้อีก ซึ่งต้องรอจังหวะและโอกาส เพราะปัจจุบันที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวยังมียอด Reject ที่สูงเช่นกัน

ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 720 ล้านบาท สำหรับในปี 2567 วางเป้ารายได้เติบโต 10-15% หรือมีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท และมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 1 โครงการ ทำเลบางบัวทองในช่วงปลายปี 2567