ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ของปี 2567 แต่ด้วยกำลังซื้อบางส่วนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์จากรัฐบาลที่ประกาศใช้มาก่อนหน้านี้
รวมถึงการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้ประกอบการหลายๆ รายผ่านกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลาย ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ยังคงรักษารายได้และกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง
นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ครองอันดับหนึ่งของตลาดด้วยรายได้รวมกว่า 28,877 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการขายบ้านจัดสรร ซึ่งกลุ่มสินค้าลักชัวรี่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ในต่างจังหวัดมีสัดส่วนมากกว่ากรุงเทพฯ
ด้านบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP ตามมาเป็นอันดับสองด้วยรายได้รวม 27,676 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการบ้านแนวราบเช่นเดียวกัน และบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เป็นอันดับสาม โดยมีรายได้รวม 22,792 ล้านบาท
ในส่วนของกำไรสุทธิ ศุภาลัยทำกำไรสูงสุดที่ 4,201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สะท้อนถึงความสำเร็จในการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม
แสนสิริตามมาเป็นอันดับสองด้วยกำไรสุทธิ 4,009 ล้านบาท และเอพี (ไทยแลนด์) ตามมาเป็นอันดับสามด้วยกำไรสุทธิ 3,727 ล้านบาท แม้ว่ากำไรของแสนสิริและเอพีจะลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง
สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 4 ปี 2567 คาดการณ์ว่ากำลังซื้ออาจไม่ได้รับผลกระตุ้นมากนัก แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ถึงอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่มองว่าปัญหาการอนุมัติสินเชื่อยังเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย
เนื่องจากสถาบันการเงินมีการเข้มงวดในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังคงพยายามตรึงราคาขายและออกมาตรการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านเพื่อสนับสนุนกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการซื้อจริง
ถึงแม้ว่าปีนี้อาจไม่ได้เห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดในด้านรายได้และกำไร แต่ก็ประเมินว่าจนถึงสิ้นปี 2567 จะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สร้างรายได้และกำไรได้มากกว่าปีที่ผ่านมา และอาจจะมีผู้ประกอบการบางรายที่ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้เมื่อตอนต้นปี