หลังจากประสบความสำเร็จจากการเสนอขายหุ้นกู้ในปี 2566 และเมื่อช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่าการเสนอขายหุ้นกู้ทั้ง 2 ครั้งรวมมูลค่าเสนอขายทั้งสิ้น 2,700 ล้านบาท ปัจจุบัน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ได้อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลตราสารหนี้ (filing)
เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จำนวน 2 ชุด อายุ 2 ปี และ 3 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ย 4.50 – 4.70% และ 4.90 – 5.10% ต่อปี
หุ้นกู้ดังกล่าวจะชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยคาดว่าคาดว่าจะพร้อมเสนอขายในช่วงวันที่ 7-9 มกราคม 2568 โดยผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 4 แห่ง เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “BBB” ซึ่งอยู่ในกลุ่มระดับลงทุน (Investment Grade) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง พร้อมคาดว่าผลตอบรับจากผู้ลงทุนจะยังคงเป็นไปตามคาด แม้สภาพตลาดหุ้นกู้ในช่วงนี้จะมีความท้าทาย
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 มีรายได้รวมกว่า 11,431 ล้านบาท เติบโตขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน
แสดงถึงความสามารถในการขยายธุรกิจแม้จะมีการแข่งขันที่สูงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในกลุ่ม Luxury Segment ที่ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง
สำหรับธุรกิจโรงแรมของสิงห์ เอสเตท ภายใต้การบริหารของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ก็มีผลการดำเนินงานโดดเด่นในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ด้วยรายได้จากการขายและให้บริการสูงถึง 7,746 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 51% สะท้อนการเติบโตจากการปรับปรุงโรงแรมหลายแห่ง
เช่น โรงแรมทราย ลากูน่า ภูเก็ต และโรงแรม Outrigger ในฟิจิ ซึ่งสามารถเพิ่มอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) และผลกำไรจากการดำเนินงานหลักกว่า 30% ส่งผลให้รายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงการเติบโตของ SHR และการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่กำลังขยายตัว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน และให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ รวมถึงการขยายการลงทุนในธุรกิจอาคารสำนักงานและนิคมอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมมุ่งมั่นสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มและผู้ลงทุนในระยะยาวโดย
โดยนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งด้านระบบทรัพยากรไฟฟ้าและน้ำที่พร้อมใช้งาน และต้นทุนสาธารณูปโภคที่ต่ำ โดยในปีนี้บริษัทสามารถรับรู้รายได้จากการโอนพื้นที่ 56 ไร่ และกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมทั้ง 3 แห่งที่เปิดดำเนินการกว่า 100 ล้านบาท
อีกทั้ง ในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปี 2568 บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ 4 โครงการในกลุ่ม Luxury และ Super Luxury มูลค่ารวมกว่า 8,800 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุน 1 โครงการในทำเลพระราม 3
และโครงการบ้านเดี่ยว 3 โครงการภายใต้แบรนด์สมิทธ์ (SMYTH’S) ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ได้แก่ รามอินทรา เกษตร-นวมินทร์ และ S’RIN Prannok-Kanchana (สริน พรานนก-กาญจนา) เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ที่มีความต้องการอยู่อาศัยและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์คุณภาพ
บริษัทฯ จึงมีความมั่นใจว่าหุ้นกู้ที่จะเสนอขายในครั้งนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีอีกครั้งจากผู้ลงทุนที่เชื่อมั่นในแบรนด์ สิงห์ เอสเตท ถึงแม้จะอยู่ในสภาวะที่ตลาดหุ้นกู้ไทยโดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น
"สิงห์ เอสเตทมุ่งมั่นขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้วิสัยทัศน์ “Entrusted And Value Enricher” ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลในธุรกิจ พร้อมตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และมั่นใจว่าแผนการดำเนินงานของบริษัทจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง" นางฐิติมา กล่าว