นายอรรถสิทธิ์ อินทรชูติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด เปิดเผยว่า จังหวัดภูเก็ตมีศักยภาพสูงและเป็นเมืองดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตช่วงปี 2567 โดยจากรายงานของ Colliers Thailand เผยว่ามูลค่าตลาดประเภทวิลล่าที่อยู่ระหว่างการขายมีมูลค่าสูงถึง 1.6 -1.7 แสนล้านบาท และมีการโตอย่างก้าวกระโดดจากปีก่อน มีจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นจาก 30-40 โครงการต่อปี มีโครงการวิลล่ามากกว่า 170 โครงการในปัจจุบัน
ซึ่งในครึ่งปีแรกของปี 2567 มีการเปิดตัววิลล่าใหม่กว่า 1,285 ยูนิตจาก 65 โครงการ มูลค่ารวม 36,000 ล้านบาท ทำให้ตลาดวิลล่าหรูในภูเก็ตเติบโตสูงกว่าคอนโดมิเนียมในรอบ 15 ปี โดยเฉพาะทำเล “เชิงทะเล” และ “พรุจำปา” ขึ้นแท่นยอดนิยม โดยราคาวิลล่ากลางในเชิงทะเลอยู่ที่ 114.7 ล้านบาท และพรุจำปาอยู่ที่ 56.3 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลาดวิลล่าในภูเก็ตยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีความต้องการจากผู้ซื้อชาวรัสเซียและยุโรป ซึ่งมักซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นบ้านหลังที่สองหรือเพื่อการลงทุน
โดยตลอด 20 ปี โบทานิก้าได้พัฒนาโครงการกว่า 27 แห่งในภูเก็ต เป็นจำนวน 1,095 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 51,000 ล้านบาท ซึ่งในแต่ละโครงการได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า ประกอบกับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและความไว้วางใจที่มีต่อแบรนด์ ทำให้สามารถปิดการขายแล้ว 10 โครงการจากทั้งหมด
และเมื่อต้นปี 2567 โบทานิก้า ยังได้ทุบสถิติยอดขายสูงสุดในเกาะภูเก็ต ด้วยยอด 1,200 ล้านบาทในเดือนมกราคม สะท้อนถึงความเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ ลักชัวรีในภูเก็ตด้วยจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญทำเลยุทธศาสตร์ที่มีความเป็นส่วนตัวและใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก ดีไซน์ยูนีครับกับธรรมชาติรอบด้าน และคุณภาพอันยอดเยี่ยมของโครงการ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่โบทานิก้าให้ความสำคัญ
และในปี 2568 โบทานิก้า ลักซูรี่ วิลล่า ยังได้นำกลยุทธ์การเป็นผู้พัฒนาด้านลักชัวรีไลฟ์สไตล์ระดับโลกด้วยการขยายพอร์ตโดยเตรียมเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส วิลล่าหรูใน 4 ทำเลศักยภาพ เช่น ฉลอง ราไวย์ ภูเก็ตทาวน์ และอีก 2 โครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ในย่านบางเทา-เชิงทะเล โดยโครงการนำร่องคือ “HYTHE by Botanica” (ไฮท์ บาย โบทานิก้า) ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เมกะโปรเจกต์อย่าง “โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว” มูลค่าโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท
เพื่อจับกลุ่มผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการคอนโดมิเนียมตากอากาศและคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน โดยคาดว่าจะทำยอดขายได้ตามเป้า ซึ่งปัจจุบันกวาดยอดขายแล้วกว่า 40% ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2568 โดยตั้งเป้ายอดขายสำหรับโครงการนี้ที่ 1,000 ล้านบาท
“ปี 2568 เราเตรียมเปิดตัว HYTHE by Botanica เมกะโปรเจกต์คอนโดมิเนียมหรูในย่านเชิงทะเล มูลค่า 12,000 ล้านบาท พร้อมคอนโดมิเนียมอีกหนึ่งแห่งในเชิงทะเล มูลค่า 18,000 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการปลายปี 2568 นี้ และตั้งเป้ายอดขายที่ 500 ล้านบาทรวมเป้ายอดขายโครงการคอนโดปีหน้าที่ 1,500 ล้านบาท” นายอรรถสิทธิ์ กล่าว
นอกจากนี้ โบทานิก้า ได้เผยเป้าหมายระยะยาวในอีก 5 ปีสู่การเป็น Top of Mind ในกลุ่ม Luxury Segment โดยตั้งเป้าขยายพอร์ตใน 4 แกนสำคัญ ได้แก่
อีกทั้ง โบทานิก้า ลักซูรี่ วิลล่า ยังเปิดสำนักงานใหญ่ใหม่ ที่ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง ออกแบบในคอนเซปต์ Eco Office เน้นพื้นที่โปร่งโล่งและฟังก์ชัน Co-Working Space รองรับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ
“สำนักงานใหญ่แห่งนี้เป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ช่วยยกระดับการบริการครบวงจร ตั้งแต่ก่อนและหลังการขาย พร้อมสะท้อนปรัชญาการออกแบบของเรา” นายอรรถสิทธิ์ กล่าว
นอกจากภูเก็ตแล้ว โบทานิก้ายังเดินหน้าต่อยอดไปยังพื้นที่ใหม่ๆอย่างกระบี่และหัวหิน ด้วย 2 โครงการ ได้แก่ Botanica Luxury Krabi และ Botanica Luxury Hua Hin
นายอรรถสิทธิ์ กล่าวถึงกลยุทธ์การขยายธุรกิจสู่เมืองอื่น ๆ ว่า การขยายธุรกิจไปยังกระบี่และหัวหินถือเป็นก้าวสำคัญของโบทานิก้าในการต่อยอดความสำเร็จจากภูเก็ต สำหรับกระบี่เล็งเห็นศักยภาพของพื้นที่อ่าวนางที่กำลังเติบโตอย่างรวเร็ว ด้วยการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและดีมานด์จากนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจากยุโรป ออสเตรเลีย และจีน ที่มองหาบ้านพักตากอากาศระดับไฮเอนด์ในทำเลสงบใกล้ธรรมชาติและใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์
ประกอบกับผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่น่าสนใจถึง 6-8% ต่อปี และราคาที่ดินที่ยังมีโอกาสเติบโตขึ้นอีก ส่วนที่หัวหินมองว่าเป็นเมืองตากอากาศระดับพรีเมียมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและนักลงทุนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในบรรยากาศใกล้ชิดทะเล โดยราคาที่ดินในหัวหินมีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 5-10% ต่อปี
ทั้งสองโครงการนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจของโบทานิก้า แต่ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีในแต่ละพื้นที่ พร้อมสร้างโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจให้ลูกค้าของเรา ในอนาคต ยังมีแผนขยายไปยังหัวเมืองสำคัญอื่น ๆ ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาทำเลและเสาะหาพาร์ทเนอร์ท้องถิ่นที่มีความเชี่ยวชาญ
“ความท้าทายของการพัฒนาโครงการในพื้นที่ใหม่คือการทำแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งต่างจากภูเก็ตที่โบทานิก้ามีความเชี่ยวชาญและเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว ดังนั้นจึงต้องมีการทำมาร์เก็ตติ้ง และสร้างบ้านตัวอย่างให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนเปิดการขาย ส่วนสิ่งที่ยังน่ากังวลสำหรับภูเก็ตคือเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การจัดการน้ำ การจราจร ทั้งนี้ เชื่อว่าด้วยศักยภาพของเมืองหากมีการพัฒนาด้านโครงสร้างจะทำให้ภูเก็ตเติบโตได้อีกยาวไกลในอนาคต” นายอรรถสิทธิ์กล่าวเสริม