ถอดโมเดล "ภาษีคาร์บอน" จากต่างประเทศ สู่โอกาสเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของไทย

30 ก.ย. 2567 | 07:00 น.
อัพเดตล่าสุด :30 ก.ย. 2567 | 07:28 น.

รวมโมเดลประเทศนำร่องมาตรการเก็บ "ภาษีคาร์บอน" ประเทศไทยเร่งเดินหน้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เดินหน้า Net Zero

ประเทศไทยกำลังเตรียมใช้ "ภาษีคาร์บอน" เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่คาร์บอนต่ำ โดยการเก็บภาษีนี้จะเน้นสินค้าที่ปล่อยมลพิษสูงเป็นหลัก นางสาวรัชฎา วานิชกร ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต ได้กล่าวในหัวข้อ "ภาษีคาร์บอน กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ" ในงานสัมมนา "Road to Net Zero 2024: The Extraordinary Green" ระบุว่าประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 372 ตันคาร์บอนต่อปี โดย 70% มาจากภาคพลังงานและภาคขนส่ง ส่วนที่เหลือมาจากภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และการจัดการของเสีย

ถอดโมเดล \"ภาษีคาร์บอน\" จากต่างประเทศ สู่โอกาสเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของไทย

ไทยได้ให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 และกำหนดเป้าหมายที่ใกล้กว่า คือ การลดการปล่อยลง 30-40% ภายในปี 2030 เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ กรมสรรพสามิตได้เสนอให้มีการใช้ "พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต" เป็นกลไกนำร่องสำหรับการเก็บภาษีคาร์บอน ซึ่งจะเน้นเก็บจากสินค้าที่มีการปล่อยมลพิษสูง เช่น เชื้อเพลิงที่มีปริมาณการปล่อยคาร์บอนสูง

ภาษีคาร์บอนเป็นกลไกที่หลายประเทศใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะประเทศที่มีความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีหลายประเทศที่โดดเด่นในการเก็บภาษีคาร์บอน เช่น...

 

  • สวีเดน

สวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่นำภาษีคาร์บอนมาใช้ในปี 1991 โดยกำหนดอัตราภาษีคาร์บอนสูงที่สุดในโลกที่ประมาณ 120 ยูโร (เท่ากับประมาณ 4,632 บาทไทย) ต่อหนึ่งตันของคาร์บอนไดออกไซด์ สวีเดนใช้รายได้จากภาษีนี้ในการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและนวัตกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้สามารถลดการปล่อยก๊าซได้มากกว่า 20% ในระยะเวลา 20 ปี ขณะเดียวกันเศรษฐกิจก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง

  • สวิตเซอร์แลนด์ 

สวิตเซอร์แลนด์มีระบบภาษีคาร์บอนที่ยืดหยุ่น ใช้ภาษีคาร์บอนที่อัตราประมาณ 96 ยูโร (ประมาณ 3,705.60 บาทไทย) ต่อตัน โดยเน้นเก็บภาษีจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และรายได้ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในโครงการพัฒนาประสิทธิภาพพลังงาน การสนับสนุนพลังงานสะอาด และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน

 

  • ฝรั่งเศส 

ฝรั่งเศสได้เริ่มเก็บภาษีคาร์บอนในปี 2014 ที่อัตรา 45 ยูโร (ประมาณ 1,737 บาทไทย) ต่อตัน แม้จะประสบปัญหาจากการประท้วงในช่วงแรกของการบังคับใช้ แต่ประเทศยังคงยึดมั่นในนโยบายนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนและสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน

 

  • แคนาดา

เริ่มเก็บภาษีคาร์บอนในปี 2019 มีอัตราภาษีเริ่มต้นที่ 20 ดอลลาร์แคนาดา ต่อตัน (ประมาณ 478.48 บาทไทย) และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 170 ดอลลาร์แคนาดา ต่อตัน (ประมาณ 4067.05 บาทไทย) ภายในปี 2030 โดยแคนาดาได้คืนเงินให้ประชาชนส่วนหนึ่งจากรายได้ภาษี เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยและกลาง

 

  • สหราชอาณาจักร 

นำระบบ Carbon Price Floor มาใช้ตั้งแต่ปี 2013 โดยเก็บภาษีที่ประมาณ 18 ปอนด์สเตอร์ลิง ต่อตัน (ประมาณ 778.79 บาทไทย) การเก็บภาษีนี้ช่วยให้สหราชอาณาจักรสามารถลดการใช้ถ่านหินและหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้น

ถอดโมเดล \"ภาษีคาร์บอน\" จากต่างประเทศ สู่โอกาสเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของไทย

ขณะที่หลายประเทศทางฝั่งยุโรปนำร่องการใช้ภาษีคาร์บอน ประเทศในเอเชียก็กำลังเริ่มนำมาตรการนี้มาใช้เช่นกัน อาทิ...

 

  • ญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ในเอเชียที่เริ่มใช้นโยบายภาษีคาร์บอน โดยในปี 2012 ญี่ปุ่นได้ประกาศเก็บภาษีคาร์บอนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรม อัตราภาษีเริ่มต้นที่ 289 เยน ต่อตัน (ประมาณ 75.14 บาทไทย) ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่สูงมากนัก แต่ญี่ปุ่นกำลังใช้วิธีการนี้เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดมากขึ้น นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในบางพื้นที่ เช่น โตเกียว เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม

 

  • เกาหลีใต้ 

เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในเอเชีย โดยในปี 2015 เกาหลีใต้ได้นำระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Emissions Trading Scheme: ETS) มาใช้ ซึ่งเป็นระบบที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และคล้ายกับระบบของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ยังมีมาตรการทางกฎหมายในการจัดเก็บภาษีจากกิจกรรมที่ปล่อยคาร์บอน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้บริษัทและประชาชนลดการใช้พลังงานที่ทำให้เกิดมลพิษ

 

  • สิงคโปร์ 

เป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เก็บภาษีคาร์บอนตั้งแต่ปี 2019 โดยเริ่มที่ 5 ดอลลาร์สิงคโปร์ ต่อตัน (ประมาณ 126.21 บาทไทย) และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 50-80 ดอลลาร์สิงคโปร์ ต่อตันภายในปี 2030 สิงคโปร์ใช้เงินจากภาษีนี้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด

 

  • จีน 

จีนเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุดในโลก แต่ได้เริ่มมีความก้าวหน้าในการจัดการกับปัญหานี้ผ่านระบบการซื้อขายคาร์บอน (Carbon Trading Market) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเปิดตัวในปี 2021 แม้ว่าจีนจะยังไม่มีการเก็บภาษีคาร์บอนโดยตรง แต่การสร้างตลาดซื้อขายคาร์บอนเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สร้างแรงกดดันให้กับบริษัทและอุตสาหกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในภาคพลังงาน

 

ในภาพรวม ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นในการพัฒนาภาษีคาร์บอน แต่ด้วยเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจน ภาษีนี้จะเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและสร้างความยั่งยืนในอนาคต