นายกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2565 IRPC มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 4,485 ล้านบาท (7.05 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) ลดลงจากไตรมาส 2 ปี 2565 8,077 ล้านบาท หรือ 64%
ทั้งนี้ มีเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล ประกอบกับต้นทุน Crude Premium ปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ บันทึก Stock loss จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2565 ขาดทุนสุทธิ 2,549 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 2,785 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มภาวะตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 4 ปี 2565 คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูง เนื่องจากความต้องการใช้พลังงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล นอกจากนี้การที่กลุ่มโอเปกและพันธมิตรมีมติปรับลดการผลิตลง 2.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงเดือนธันวาคม 2566 เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนราคาน้ำมันดิบ
ขณะที่แนวโน้มภาวะตลาดปิโตรเคมีในไตรมาส 4 ปี 2565 คาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะฟื้นตัวขึ้น ตามสถานการณ์ COVID-19 ทั่วโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการเข้าสู่ช่วงงานเทศกาลปลายปี รวมทั้งความต้องการ จากกลุ่มธุรกิจ New S-Curve เช่น EV Car, Charging station ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงความต้องการในกลุ่ม Robotics ที่ในปัจจุบันได้ถูกนำมาใช้ทดแทนแรงงานคนมากขึ้น นอกจากนี้ กำลังการผลิตใหม่ที่เดิมคาดว่าจะเพิ่มเข้ามาในปี 2565 นี้ อาจจะมีการเลื่อนการผลิตออกไป และหลายโรงงานมีการประกาศลดอัตรากำลังการผลิตลง
นายกฤษณ์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ สร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้วัสดุและพลังงาน เพื่อชีวิตที่ลงตัว ที่มากกว่าการเป็นผู้นำในธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นน้ำมัน ควบคู่กับการสร้างสมดุลให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของทิศทางเศรษฐกิจ สังคม พลังงาน และพฤติกรรมผู้บริโภคตามเทรนด์ของโลก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-curve) ตามนโยบาย Thailand 4.0 เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานทดแทน และวัตถุดิบสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น ท่ามกลางวิกฤตต้นทุนพลังงาน รวมทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
โดยล่าสุด IRPC ได้ร่วมมือกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ศึกษาการลงทุนตามกลยุทธ์ Advanced Business Integration (ABI) โดยจะร่วมกันพัฒนา 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจผลิตวัสดุประสิทธิภาพชั้นสูง (High Performance Materials) ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนสำคัญของ Li-ion แบตเตอรี่ (Battery Component)
ธุรกิจการทำให้สารบริสุทธิ์ (Purification) และธุรกิจเกี่ยวกับเคมีภัณฑ์เพื่อชีวิต (Chemical for Life) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและต่อยอดผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก โดยในช่วงเริ่มต้นจะเน้นการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนธุรกิจเกี่ยวกับแผ่นกรองอากาศ และน้ำ (Air และ Water Purification)
ซึ่งสอดรับกับแนวโน้มของผู้บริโภคที่หันมาดูแลรักษาสุขอนามัยมากขึ้น พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ต่อยอดผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก Polypropylene (PP) และ Acrylonitrile Butadiene Styrene (ABS) ของ IRPC อีกด้วย