บิ๊กดีลขนาดใหญ่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 66 เมื่อบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ประกาศซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (เอสโซ่) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. (ExxonMobil)
โดยเบื้องต้นเป็นการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ "เอสโซ่" จาก ExxonMobil โดยมีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท และมีกลไกการปรับราคาซื้อขายหุ้นตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้น
หากอ้างอิงตามงบการเงินสอบทานในไตรมาส 3/2565 ของเอสโซ่ จะได้ราคาเบื้องต้นประมาณ 8.84 บาทต่อ 1 หุ้น (คาดใช้เงินเบื้องต้นราว 20,188 ล้านบาท จากสัดส่วนหุ้น 65.99% ที่ถือโดย ExxonMobil) โดยราคาสุดท้ายจะมีการปรับตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ และเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด (tender offer) ของเอสโซ่ หลังจากการทำธุรกรรมกับ ExxonMobil เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2566
ล่าสุดเว็บไซต์ esso.co.th ได้เปิดเผยประวัติบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิลในประเทศไทย ประกอบด้วย
ทั้งนี้ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2551 ราคาไอพีโอ 10 บาท ราคาพาร์ 4.9338 บาท จำนวนหุ้นจดทะเบียน ณ วันที่ 11 ม.ค. 2566 จำนวน 3,460.86 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 38,415.52 ล้านบาท
สำหรับผู้ถือหุ้นรายย่อยวันที่ 17 มี.ค. 2565 จำนวน 20,310 ราย คิดเป็นสัดส่วน 34.01%
ผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 รายแรก ประกอบด้วย
ด้านผลประกอบการไตรมาส 3/2565 มีสินทรัพย์รวม 95,817.10 ล้านบาท หนี้สินรวม 67,035.62 บาท รายได้รวม 199,380.76 ล้านบาท กำไรสุทธิ 11,071.70 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี จากการลงทนครั้งดังกล่าวนี้ของบางจากจะทำให้สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องจาก "เอสโซ่" ได้แก่ โรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง
โดยจะทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง
ส่งผลให้บางจากฯจะมีกำลังการกลั่นน้ำมันสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย