นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ปี 2565 ไทยออยล์มีรายได้รวม 505,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% จากปี 2564
และมีกำไรสุทธิ 32,668 ล้านบาท ซึ่งรวมกำไรจากการจัดประเภทเงินลงทุนและจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท GPSC จำนวน 12,880 ล้านบาท (หลังหักภาษีเงินได้)
ทั้งนี้ ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจีน ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวลดลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์ในไตรมาส 4/2565 ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 9,178 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 1.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยกลุ่มไทยออยล์รายงานกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 4/2565 ที่ 147 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมธุรกิจการกลั่นปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมาสอดรับกับสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้ความต้องการน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานฟื้นตัวดีขึ้น
อีกทั้งตลาดสารอะโรเมติกส์ก็ปรับตัวดีขึ้นจากอุปสงค์ของกลุ่มเครื่องนุ่งห่มและบรรจุภัณฑ์ขวดน้ำดื่มที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขายในช่วงไตรมาส 4/2565 ที่123,132 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 11.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
นายบัณฑิต กล่าอีกว่า ภาพรวมธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ในปี 2566 คาดว่าจะยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตและประเทศจีนมีการยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจก็ยังคงมีความไม่แน่นอนเนื่องจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยและคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง เพื่อควบคุมสภาวะเงินเฟ้อ
"ไทยออยล์ยังคงมุ่งเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก รวมถึงการต่อยอดไปยังธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ขยายตลาดและกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาค และมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต"