นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยถึงผลประกอบการปี 2565 กลุ่มบริษัทบางจากและบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 312,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% จากปี 2564 คิดเป็น EBITDA 44,724 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73% จากปีก่อนหน้า
ส่งผลให้มีกำไรสำหรับงวดปี 2565 ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 12,575 ล้านบาท สูงขึ้น 65% จากปี 2564 คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 8.89 บาท โดยไตรมาส 4 ปี 2565 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 84,583 ล้านบาท EBITDA 6,951 ล้านบาท และกำไรสำหรับงวดส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 473 ล้านบาท
ทั้งนี้ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากธุรกิจโรงกลั่นฯ และการลงทุนในธุรกิจต้นน้ำที่นอร์เวย์ โครงสร้างองค์กรที่คล่องตัวและการขับเคลื่อนกลยุทธ์ธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ และคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้นำเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2565 ในอัตรา 1 บาทต่อหุ้น
สำหรับผลการดำเนินงานที่สำคัญในแต่ละกลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย
กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA รวม 17,864 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้น 91% เทียบกับปี 2564 จากความสามารถในการปรับตัว การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และสร้างฐานลูกค้าใหม่ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ส่งผลให้ดำเนินการกลั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรงกลั่นน้ำมันบางจากมีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยในระดับ 123,000 บาร์เรลต่อวันตลอดทั้งปี 2565 เพิ่มขึ้น 24% จากปี 2564 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่ฟื้นตัว
ขณะที่อุปทานน้ำมันตึงตัวจากสงครามรัสเซียกับยูเครน ส่งผลให้ค่าการกลั่นพื้นฐานเพิ่มขึ้น 9.81 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จาก 4.52 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564 มาเป็น 14.33 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565 เนื่องจาก Crack Spread ของทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี มีการรับรู้ขาดทุนจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ล่วงหน้าและ Inventory Gain ลดลงเนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีความผันผวนปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 สำหรับธุรกิจการค้าน้ำมันโดยบริษัท BCPT เติบโตต่อเนื่อง มีธุรกรรมการซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันรวมเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน และมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนของธุรกรรมกับคู่ค้าที่อยู่ภายนอกกลุ่มบริษัทบางจากมากขึ้น
กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA รวม 2,909 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้น 11% จากปี 2564 ปัจจัยหลักมาจากปริมาณการจำหน่ายรวมเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของการบริโภคและการผลักดันด้านการตลาด อีกทั้ง การเปิดประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ปริมาณจำหน่ายน้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้นถึง 148% จากปีก่อนหน้า
ส่วนแบ่งการตลาดด้านปริมาณยอดขายน้ำมันผ่านสถานีบริการสะสมในปี 2565 อยู่ที่ 16.4% เทียบกับ 16.2% ในปี 2564 (ตามข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงาน) ณ สิ้นปี 2565 มีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 1,343 สถานี และธุรกิจ Non-Oil ร้านกาแฟอินทนิลมีสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 1,002 สาขา
กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) มี EBITDA รวม 6,400 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้น 53% จากปี 2564 จากการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท Star Energy Group Holdings Pte. Ltd. 2,031 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2565 โดยผลการดำเนินงานปกติปรับเพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 3 โครงการ ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้นถึง 373% เมื่อเทียบกับปีก่อน
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) มี EBITDA รวม 617 ล้านบาทในปี 2565 ปรับลด 67% จากปี 2564 ปัจจัยหลักมาจากการรับรู้รายการพิเศษในไตรมาส 3 ปี 2564 (กำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน)
การดำเนินงานโดยปกติปรับลดลงเนื่องจากธุรกิจเอทานอลมีปริมาณขายลดลงและธุรกิจไบโอดีเซลปริมาณขายลดลงจากการที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ประกาศปรับส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลจาก B10 เป็น B5 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี
กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจใหม่ มี EBITDA รวม 17,625 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นถึง 114% จากปี 2564 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนวิธีบันทึกเงินลงทุนใน OKEA เป็นบริษัทย่อยตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2564 ทำให้ปี 2565 กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติรับรู้ EBITDA จาก OKEA เต็มปี
ผลการดำเนินงานเฉพาะของ OKEA ปี 2565 EBITDA เพิ่มขึ้น 82% จากราคาขายเฉลี่ยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว และราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลก ส่วนปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้น 3% จากปี 2564 จากการรับรู้รายได้ของแหล่ง Yme ตลอดปี 2565
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2565 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 84,583 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และมี EBITDA 6,951 ล้านบาท ปรับลดลง 39% จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากราคาพลังงานในตลาดโลกปรับลดลง ส่งผลให้ มี Inventory Loss 4,003 ล้านบาท
นอกจากนี้ธุรกิจของ OKEA ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยฤดูหนาวและระดับสต๊อกก๊าซธรรมชาติของยุโรปที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ไตรมาส 4 ปี 2565 มีกำไรสำหรับงวดส่วนของบริษัทใหญ่ 473 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.26 บาท
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ประกาศซื้อหุ้นและทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท เอสโซ่ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ยกระดับการดำเนินธุรกิจจากพื้นฐานที่แข็งแกร่งด้านความมั่นคงของพลังงานและขยายการลงทุนไปสู่พลังงานแห่งอนาคต รวมถึงต่อยอดธุรกิจปัจจุบัน หรือธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต
โดยรักษาสมดุลที่ดีระหว่างความท้าทายด้านพลังงาน 3 ประการ คือ ความมั่นคงด้านพลังงาน การเข้าถึงพลังงาน และความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
"คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 อนุมัติให้นำเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2565 ในอัตรา 1 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2565 ในอัตรา 1.25บาทต่อหุ้น จะรวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2565 ในอัตรา 2.25 บาทต่อหุ้น โดยวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลเป็นวันที่ 7 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 เมษายน 2566"