ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยถึงกรณีที่กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการส่งเสริมการติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่อยู่อาศัย (โซลาร์รูฟท็อป) โดยใช้มาตรการหักลดหย่อนภาษีประจำปีไม่เกิน 2 แสนบาท 10 กิโลวัตต์ เพื่อสนับสนุนคนใช้โซลาร์ 9 หมื่นครัวเรือนต่อปี เพื่อลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้า สำหรับประชาชนผู้ร่วมโครงการโซลาร์ภาคประชาชนว่า นับเป็นมาตรการที่ดีในการส่งเสริมให้เกิดประโยชน์กับประชาชนในระยะสั้น
ทั้งนี้ มองว่าภาครัฐควรมีมาตรการหรือกลไกที่จะส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ระยะยาวควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะโครงการโซลาร์ภาคประชาชนที่ควรรับซื้อไฟคืนในอัตราที่เหมาะสม และขยายสัดส่วนปริมาณรับซื้อไฟที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับไฟฟ้าส่วนเกินของครัวเรือน
ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะเกิดแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาติดตั้งมากขึ้น เพื่อเดินหน้าตามเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนในภาคครัวเรือน
นอกจากนี้ รัฐควรจะต้องมองในเรื่องการปลดล็อคกฎเกณฑ์หรือข้อกำหนดต่างๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น การเพิ่มข้อจำกัดขนาดหม้อแปลงของผู้ขายไฟฟ้ารวมกัน จากเดิมไม่เกิน 15% ให้ได้มากกว่า 15% ของขนาดพิกัดหม้อแปลง เพราะมองว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก หากปลดล็อกส่วนดังกล่าวนี้ได้ก็จะเป็นผลดีต่อทิศทางของการเพิ่มปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าของภาครัฐ
ผศ.ดร.เกษรา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันกระแสการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในประเทศไทยมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วย
"เพื่อกระตุ้นการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปภาคประชาชนให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น หากรัฐสามารถแก้ไขระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายไฟฟ้าจากภาคประชาชน จะมีส่วนสำคัญต่อการกระตุ้นให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ เข้ามาติดตั้งโซลาร์ในหมู่บ้านจัดสรรมากขึ้น"
ผศ.ดร.เกษรา กล่าวต่อไปอีกว่า หากแก้ระเบียบต่างๆ จะทำให้กลไกตลาดของราคาแผงโซลาร์มีความคุ้มค่าในการติดตั้ง แม้ว่าราคาปัจจุบันราคาจะลดลงกว่าอดีตก็ตาม แต่ก็ยังไม่เกิดการตื่นตัวติดโซลาร์เท่าที่ควร เนื่องจากไฟที่ผลิตได้ในช่วงกลางวันไม่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้บริโภคได้ เพราะด้วยปัจจัยการดำรงชีวิตที่ส่วนใหญ่ ออกไปประกอบอาชีพในช่วงกลางวัน ดังนั้น รัฐควรมีโครงสร้างการรับซื้อไฟที่เหมาะสมและจูงใจมากกว่าเดิมที่ปัจจุบันรับซื้อไฟส่วนเกินที่ 2.20 บาท/หน่วยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันโครงการของเสนาฯ ได้ติดตั้งโซลาร์ให้กับลูกบ้าน ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม รวมกว่า 5,000 ยูนิต และยังมีการพัฒนานำเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการออกแบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมถึงมีระบบประมวลผลของการลดการใช้พลังงาน โดยร่วมกับ Zeroboard (Thailand) พันธมิตรจากญี่ปุ่น ที่เชี่ยวชาญในการให้บริการคลาวด์เทคโนโลยีสำหรับคำนวณและแสดงผลลัพธ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกและได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการใช้ชีวิตแบบ Low-Carbon ให้กับที่อยู่อาศัย
โดยเสนาฯ ได้การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด ZEH หรือบ้านพลังงานเป็น 0 โดยนำการออกแบบ Passive และ Active design ช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน เลือกใช้วัสดุประหยัดพลังงาน ช่วยกันความร้อน รวมถึงใช้พลังงานสะอาดจากโซลาร์เซลล์ ช่วยให้เจ้าของบ้านซื้อไฟฟ้ามาใช้น้อยที่สุด ดังนั้น ขณะนี้ที่อยู่อาศัยที่เสนาฯ พัฒนาขึ้น สามารถประหยัดได้สูงสุดตั้งแต่ระดับ18-50% รวมถึงการติดตั้ง EV Ready เครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า (EV Charger) เพื่อรองรับรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น
เสนาฯ ได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่อยู่อาศัย เดินหน้าสู่การเป็นองค์กรพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน Sustainability โดยมุ่งสู่การลดคาร์บอน หรือ Net Zero เพื่อสร้างความสมดุล 3 ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยการทำผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือสินค้ารักษ์โลก เพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าถึง และสามารถใช้ชีวิตในแบบ Sustainability เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของทุกคน