นายกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการกลยุทธ์ 5 ปี (2567 – 2571) ว่า บริษัทฯ มีกลยุทธ์สร้างความเข้มแข็งธุรกิจหลัก (Core uplift) โดยธุรกิจปิโตรเลียม บริษัทฯ สามารถผลิตและจำหน่ายน้ำมันสะอาดดีเซลกำมะถันต่ำตามมาตรฐานยูโร 5 ตั้งแต่ปลายปี 2566 ด้วยกำลังการผลิตประมาณ 93,500 บาร์เรล/วัน ตามแผนกลยุทธ์ “Domestic first” ที่มุ่งขยายสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมันในประเทศผ่านเครือข่ายคลังน้ำมันทั่วประเทศ รวมทั้งขยายความร่วมมือกับผู้ค้าน้ำมันในประเทศอีกด้วย
ธุรกิจปิโตรเคมี บริษัทฯ เพิ่มสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty products) ให้ได้ 38% ภายในปี 2567 และ 50% ในปี 2568 ด้วยกลยุทธ์ “Specialty boost” เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและประสบการณ์ ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/67 ประกอบด้วย
ธุรกิจท่อและโครงสร้างพื้นฐาน เม็ดพลาสติก POLIMAXX HDPE 100 RC ใช้ในการผลิตท่อทนต่อแรงดันและรับแรงกระแทกสูง ตามมาตรฐาน EN1555-2021 อายุใช้งานยาวนานถึง 50 ปี สามารถติดตั้งท่อแบบเจาะลอดใต้ผิวดิน ช่วยลดปัญหาการขุดเจาะและเปิดหน้าดิน ลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการติดตั้ง
ปัจจุบันบริษัทฯ ส่งออกเม็ดพลาสติก POLIMAXX PE100 RC ไปยังหลายภูมิภาค เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกาและอินเดีย เป็นต้น เม็ดพลาสติก POLIMAXX PPR ใช้ในการผลิตท่อที่ทนต่อแรงขีดข่วนและแรงดัน ทนต่อสารเคมีได้มากกว่าท่อน้ำประปาทั่วไป มีความปลอดภัยเพราะผลิตจากเทคโนโลยีแบบไร้สารทาเลต (Non Phthalate) เหมาะสำหรับผลิตท่อน้ำร้อนน้ำเย็นในครัวเรือน คอนโดและโรงงานอุตสาหกรรม สามารถเชื่อมต่อกันระหว่างท่อได้โดยใช้ความร้อนและมีอายุการใช้งานยาวนาน
ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสุขอนามัย เม็ดพลาสติก POLIMAXX PP Spunbond และ PP Meltblown (พีพี สปันปอนด์ และ พีพี เมลต์โบลน) สำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสุขอนามัย เช่น หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ ชุด PPE ผ้าอ้อมเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงแผ่นกรองต่าง ๆ ที่มีความปลอดภัยสูงเพราะไม่มีสารทาเลต (Phthalate free)
ธุรกิจยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ Acetylene Black (ACB) (อะเซทิลีนแบล็ก) ด้วยคุณสมบัติการนำไฟฟ้า ลดไฟฟ้าสถิตย์ ช่วยในการถ่ายเทประจุความร้อน ดูดซึมความชื้นต่ำ มีความบริสุทธิ์สูง สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย เช่น งานแบตเตอรีในรถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) เป็นต้น
ธุรกิจสีและสารเคลือบ ธุรกิจสีและสารเคลือบ บริษัทฯ ร่วมกับบริษัท เบเยอร์ จำกัด พัฒนาผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบมาตรฐานโลกเป็นครั้งแรกของประเทศ ด้วยส่วนผสม Polytetrafluoroethylene (PTFE) ที่มีคุณสมบัติพิเศษมีความทนทานต่อสภาพอากาศ ที่รุนแรง ช่วยยืดอายุการใช้งานโครงสร้างเหล็กถึงสามเท่า สำหรับใช้เคลือบโครงสร้างเหล็กในโรงกลั่นน้ำมัน โรงงาน ปิโตรเคมีสนามบิน ท่าเรือและสะพาน เป็นต้น
สำหรับความก้าวหน้าในกลยุทธ์การลงทุนแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ (Step up & Beyond) บริษัทฯ ได้ลงทุนในบริษัท วิสอัพ จำกัด (VISUP) ซึ่งเป็น Incubator / Accelerator ผลักดันนวัตกรรมและเทคโนโลยีของสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ในสัดส่วน 22% โดยมีความสนใจในเทคโนโลยีกลุ่ม Digital Temperature Indicator (DTI) ที่ร่วมกันวิจัยและพัฒนา รวมถึงต่อยอดกับ หมึกนำไฟฟ้า (Conductive ink) ของบริษัทฯ โดยประยุกต์ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ สามารถติดตามสินค้า ตรวจสอบสภาพสินค้า และให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภค
"บริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินนโยบายธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ลดต้นทุนการผลิต ต้นทุนพลังงานจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ บริษัทฯ จะลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2603”
นายกฤษณ์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2567 คาดผลประกอบการจะเป็นบวกและเติบโตขึ้นจากปี 2566 ซึ่งจะเป็นการขยายตัวตามแผนธุรกิจที่ตั้งไว้ แม้คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 จะมีแนวโน้มอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว โดยประเมินว่าราคาน้ำมันดิบไตรมาส 2 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก จากความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ทั้งภาคการบินที่เริ่มฟื้นตัวและทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันในภาคการก่อสร้าง ภาคการเกษตรและภาคขนส่ง ขณะที่ไตรมาส 3 ค่าการกลั่นจะกลับมาฟื้นตัว
อย่างไรก็ดี ปี 67 บริษัทมีแผนผลิตผลิต ภัณฑ์ (specialty products) ในธุรกิจปิโตรเคมีเป็น 38% จากปีก่อนอยู่ที่ 33% และเป็น 50% ภายในปี 2568 ตั้งเป้าเพิ่มราย ได้ 800-1,000 ล้านบาท โดยมีตลาดเป้าหมาย ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้าง อุตสาหกรรมยานยนต์ ธุรกิจสุขภาพ ธุรกิจอิเล็กทรอ นิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
นอกจากนี้ เชื่อว่าผลการดำเนินงานปี 2568 จะดีขึ้นจากปี 2567 แม้จะไม่ดีเท่า กับอดีต แต่จะเติบโตตามแผน ธุรกิจที่ประเมินว่าธุรกิจปิโตร เคมีจะฟื้นตัวในปี 2568
ส่วนนโยบายกระตุ้นการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) ของภาครัฐผ่านมาตรการของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) นั้น เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรมที่ประกอบจากมอนอเมอร์ 3 ตัว (ABS) ที่เป็นส่วนประกอบของรถอีวี ทำให้เกิดความต้องการใช้มากขึ้น ช่วยกระตุ้นยอดขาย ABS ในประเทศให้กับบริษัทเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันบริษัทส่งออก ABS สัด ส่วน 60% และขายในประเทศ 40%