การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate change ไม่ใช่เรื่องใหม่และไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัว ที่ผ่านมาเราคุ้นเคยกันดีกับคำว่า “ภาวะโลกร้อน” หรือ “ปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก” ซึ่งในระยะเวลาที่ผ่านมาจะพบว่านานาประเทศ รวมถึงประเทศไทย มีความพยายามจะช่วยกันบรรลุเป้าหมาย Net Zero เป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์มาใช้อยางแพร่หลายทั่วโลก
เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการกับปัญหาสภาวะอากาศ ข้อตกลงปาริสมีเป้าหมายลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และพยายามรักษาอุณหภูมิให้อยู่ที่ระดับ 1.5 องศาเซลเซียส และแน่นอนเราต่างก็รับรู้ได้ว่าบางอย่างในระบบภูมิอากาศของโลกนั้นมีความผิดปกติไปจากเดิม
ในครั้งนี้จะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ EIU The Economist Intelligence Unit ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านเศรษฐกิจและการเมือง ประเมินประเทศไทย ว่า กำลังเผชิญความเสี่ยงจากภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรง แต่ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ของประเทศในปัจจุบันกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลกยังคงอยู่ในระดับปานกลาง
ความเร่งด่วนในการจัดการกับความเสี่ยงด้านสภาพอากาศของไทย พบว่า ที่ผ่านมารัฐบาลประกาศเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ เเละมีความพยายามมากขึ้น โดยมีโมเดล Bio-Circular-Green หรือ BCG
Climate change ความเสี่ยงครั้งใหญ่ของไทย
ตามดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพอากาศในระยะยาวโดย Germanwatch องค์กรพัฒนาอิสระและองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ชี้ว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจัดอยู่ในอันดับที่ 9 ของประเทศในกลุ่ม "ความเสี่ยงสูง" ในอนาคตมากที่สุด
ผลกระทบในอีก 30 ปีข้างหน้า
ประเทศไทยเผชิญกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อกรุงเทพฯ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 1.5 เมตร
ภาคการเกษตรของไทยคิดเป็น 6% ของ GDP และประมาณ 30% ของการจ้างงานทั้งหมด
สภาพอากาศที่รุนแรงและคาดเดาไม่ได้ ตั้งแต่น้ำท่วมและภัยแล้ง สำคัญมากโดยเฉพาะประชากรในชนบท
สัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย
ข้อมูลของ BP Statistical Review of World Energy 2022 พบว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ของไทยที่ 0.8% ต่อปีในปี 2554-2564 สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 0.6% แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ 1.8% เเละมีการคาดการณ์ว่า การปล่อย CO2 จะสูงสุดก่อนปี 2573
ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ พบว่าไทยได้ประโยชน์จากส่วนแบ่งที่สูงของภาคบริการ ซึ่งปล่อยมลพิษน้อยกว่าภาคอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม การผลิตไฟฟ้ามีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 36% ของประเทศไทย รองลงมาคืออุตสาหกรรม 30% และการขนส่ง 28% สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องกระจายแหล่งพลังงานของอุตสาหกรรมการผลิต โดยเลิกใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมทั้งขยายขบวนการขนส่งคาร์บอนต่ำ
การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลของไทยยังคงสูง
ข้อมูลจากการทบทวน BP ระบุว่า ประเทศไทยมีเเนวโน้มใช้พลังงานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอย่างมาก ซึ่งคิดเป็น 77% ของการใช้พลังงานทั้งหมดในปี 2564 ขณะที่ถ่านหินคิดเป็น 17% แต่ถ้าเทียบกับเอเชียก็ยังถือว่าต่ำ ซึ่งค่าเฉลี่ยของภูมิภาคแปซิฟิกอยู่ที่ 47% ได้แรงหนุนจากการใช้งานที่สูงในจีน 55% อินเดีย 57% และอินโดนีเซีย 39% การใช้พลังงานหมุนเวียนคิดเป็น 6.3% ของทั้งหมด ซึ่งใกล้เคียงกับพลังงานทดแทนในภูมิภาค
ความเร่งด่วนที่เพิ่มขึ้นในการพยายามไปสู่เป้าหมาย
พฤศจิกายน 2565 ประเทศไทยกำหนดนโยบายระดับประเทศฉบับปรับปรุงเป็นครั้งที่สอง ซึ่งแสดงให้เห็นเป้าหมายที่มีความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30-40% จากระดับปกติ ที่คาดการณ์ไว้ภายในปี พ.ศ. 2573 นอกจากนี้ รัฐบาลยังประกาศฉบับแก้ไขของ ยุทธศาสตร์การพัฒนาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำในระยะยาว ซึ่งเสนอความพยายามเร่งรัดเพื่อต่อสู้กับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยนำโมเดล BCG ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2564 มุ่งเน้นไปที่ 4 ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ อาหารและการเกษตร การแพทย์และสุขภาพ พลังงาน วัสดุ ชีวเคมี และการท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจการริเริ่มนโยบาย BCG รวมการผลักดันอย่างยั่งยืนของประเทศไทยเข้ากับนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงดูดความสนใจให้มากขึ้น ชี้ให้เห็นถึงความพยายามเร่งรัดในการเปลี่ยนแปลงคือ Climate Change Act หรือ กฎหมายหลักใน การวางกรอบการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ภาคการเงิน ออกแบบนโยบายสนับสนุนแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน
ธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ อยู่ระหว่างยกร่าง Thailand Taxonomy รวมถึงมาตรฐานเพื่อวางกรอบการทำงานในระบบนิเวศทางการเงินที่ยั่งยืน ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการเงินสีเขียว
มองผ่าน EIU ประเทศไทยต้องทำอะไร
จัดทำแผนการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานสำหรับภาคพลังงานและการขนส่งในระยะยาว
ภาคพลังงานซึ่งเป็นแหล่งปล่อยมลพิษที่ใหญ่ที่สุด จำเป็นต้องเปลี่ยนจากก๊าซธรรมชาติ ไปสู่พลังงานหมุนเวียน
ภาคการผลิตเพื่อการส่งออกและอุตสาหกรรมหนักของไทยจำเป็นต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและผ่านการเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าในกรณีที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อการบริโภคโดยตรง
ภาคการขนส่งต้องปรับปรุงประสิทธิภาพของการขนส่งสาธารณะและส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้า
ภาคเกษตรกรรม จำเป็นต้องจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การกักเก็บคาร์บอน (เช่น การปลูกป่า) และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน
ที่มา : Thailand’s sustainability policy: getting its act together