นายจรัญ คำเงิน รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ. ได้ดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่าย เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาโลกร้อน สู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Net Zero)
ทั้งนี้ ได้มีการจัดทำระบบสนับสนุนการวางแผนพัฒนาเมืองอัจฉริยะด้วยข้อมูล (Mae Moh City Data Platform) เป็นเครื่องมือสนับสนุนการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม PM2.5 และการจัดการเมืองสู่ความยั่งยืน โดยใช้อำเภอแม่เมาะเป็นต้นแบบเมืองน่าอยู่ และจะขยายผลสู่เมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ
"การยกระดับเมืองสู่ Net Zero ด้วย City Data Platform กฟผ. ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน โดยการพัฒนาระบบสนับสนุนการวางแผนพัฒนาเมืองอัจฉริยะด้วยข้อมูล นำร่องในพื้นที่อำเภอแม่เมาะถือเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญในการยกระดับเมืองสู่ Net Zero"
สำหรับแพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นการรวบรวม วิเคราะห์ และแสดงผลข้อมูลเมืองด้านต่าง ๆ อาทิ คุณภาพอากาศ จุดความร้อนและไฟป่า พื้นที่สีเขียว ขยะและของเสีย น้ำ และปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นการใช้ข้อมูลจริงจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) แบบเรียลไทม์
เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการขับเคลื่อนและพัฒนาเมืองสำหรับประชาชน เจ้าหน้าที่ และผู้บริหารเมืองในการตัดสินใจทั้งการบริหารจัดการ การเตือนภัยและแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดรับกับบริบทของการก้าวสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ
ศาสตราจารย์ ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาหมอกควันในประเทศไทยเริ่มทวีความรุนแรงในวงกว้างซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เกิดจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ อาทิ การเผา การสันดาปของเครื่องยนต์ และการก่อสร้าง
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก ดังนั้น เป้าหมายในการพัฒนาเมืองสู่ความยั่งยืนจึงต้องยึดหลักการสำคัญคือ ทำให้เมืองมีความปลอดภัย มีภูมิต้านทานที่ดี และสร้างการเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนได้ ซึ่งการสร้างเมืองน่าอยู่ต้องมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ประกอบด้วย
ระบบการติดตามตรวจสอบ (Monitoring) รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เข้าถึงง่ายในการบริหารจัดการคุณภาพอากาศ เช่น การพยากรณ์ค่าฝุ่นและมลพิษต่าง ๆ ทั้งจากชั้นบรรยากาศและแหล่งกำเนิด การส่งเสริมให้เกิดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน
และมาตรการและนโยบายภาครัฐที่ต้องส่งเสริมให้เกิดพื้นที่สีเขียวและมาตรฐานที่ดีในการบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการคมนาคม อุตสาหกรรม ตลอดจนการประสานขอความร่วมมือจากต่างประเทศ เพื่อสร้างการรับรู้และมีส่วนร่วมของภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น และประชาชนในทุกมิติ
นอกจากนี้ การพัฒนาเมืองสู่ความยั่งยืนผ่านการบูรณาการเทคโนโลยี Big Data ยังเป็นกลไกสำคัญในการเร่งผลักดันประเทศไทยให้สามารถรับมือปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) รวมถึงบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาคพลังงานสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการเชื่อมโยงด้านนโยบาย และผลักดันและสนับสนุนให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
นางลิสา เอ. บูเจนนาส กงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา ประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศไทยในการก้าวสู่พลังงานสะอาดในอนาคต ว่า ที่ผ่านมา กฟผ. ได้รับทุนจากองค์กรของสหรัฐอเมริกาในการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
ตลอดจนการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านการผลิตไฟฟ้าร่วมกับบริษัทอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของก้าวสำคัญในการนำพาประเทศไทยไปสู่การเปลี่ยนผ่านจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาดเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา
นอกจากนั้น สหรัฐอเมริกาได้มองหาแนวทางใหม่เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในประเทศไทยและทั่วภูมิภาคผ่านโครงการด้านพลังงานสะอาดและ Net Zero ของกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา
โดยวิกฤตหมอกควันส่งผลกระทบอย่างมากทั้งด้านสุขภาพของประชาชน รวมถึงการเติบโตด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว สหรัฐอเมริกาจึงสนับสนุนงบประมาณสำหรับปฏิบัติการดับไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ ตลอดจนสนับสนุนระบบดาวเทียมและเซนเซอร์วัดคุณภาพอากาศแก่มหาวิทยาลัยและนักวิจัยสำหรับติดตามค่าคุณภาพอากาศให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลด้วยระบบออนไลน์ได้