"โอสถสภา" ปักธงขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน 5 ด้านภายในปี 68

(21 ก.ย.66) โอสถสภา เปิดเวทีเสวนา Sustainability Dialogue : Mission to Carbon Neutral เพื่อร่วมแบ่งปันมุมมองและทิศทางนโยบายด้านความยั่งยืนจากภาครัฐ และถ่ายทอดโรดแมพด้าน "ความยั่งยืน" และเป้าหมาย "Carbon Neutral" พร้อมรวมพลังในการสร้างความร่วมมือเครือข่ายธุรกิจ เพื่อสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยครอบคลุม 3 ด้าน ตามแนวคิดการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน หรือ ESG ซึ่งประกอบด้วย สิ่งแวดล้อม (Environment), สังคม (Social) และ ธรรมาภิบาล (Governance) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากกระบวนการผลิตและบริโภค สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคต

นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ได้แสดงวิสัยทัศน์ขององค์กรที่ยึดหลักการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่ริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2562 โดยกำหนดเป้าหมายสู่ความยั่งยืน 5 ประการหลัก ที่คาดว่าจะบรรลุภายในปี 2568 ได้แก่

1. ห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน (Sustainable Supply Chain)

2. สุขภาพความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภค (Consumer Health and Well-being)

3. การพัฒนาผลิตภัณเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Packaging)

4. การบริหารจัดการน้ำ (Water Management)

5. การบริหารจัดการพลังงาน (Energy and Climate Change Management)

พร้อมชี้กลยุทร์ 3 ด้าน เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 70% ภายในปี 2593

1. การเปลี่ยนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า (Fuel Switching)

2. มุ่งสู่องค์กรคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Operation)

3. ชดเชยคาร์บอนส่วนเกิน (Carbon Offsetting)

ด้านภาครัฐ นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม สร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับร่างพ.ร.บ.เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate Change) ของประเทศไทย เพื่อมีส่วนร่วมกับเอกชนในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน พร้อมอัปเดตความคืบหน้าร่างพ.ร.บ.นี้ อยู่ในระหว่างการดำเนินการและกระบวนการหารือในภาครัฐ ซึ่งมีทั้งมาตรการการบังคับใช้ และแนวทางการปฏิบัติ รวมไปถึงมาตรการทางการเงิน โดยคาดว่าจะสามารถเสนอฝ่ายนโยบายได้ประมาณต้นปี 2567

โดย พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับนี้ จะครอบคลุมในหลายมิติ ทั้งเชิงสังคม เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับคาร์บอนเครดิตโดยองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เพื่อการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในอนาคต ภาษีคาร์บอน และการเปิดเผยข้อมูลหรือการทำรายงานการปล่อยคาร์บอน  สู่เป้าหมายการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม และกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมน้อยที่สุด

นางสาวรัชฎา วานิชกร ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต ได้กล่าวถึงภาษีสรรพสามิตที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนนโยบายความยั่งยืนของภาครัฐ จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก่อให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ พร้อมแรงกดดันทางการค้าและการลงทุนจากทั่วโลกที่ได้มีการตั้งกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่คำนึงถึงปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ รัฐบาลได้มีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และเป้าหมายต่อไปคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 จึงทำให้กรมสรรพสามิตเล็งเห็นความสำคัญในการขับเคลื่อนภาษีด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นกลไกหนึ่งที่จะเข้ามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค และสนับสนุนให้เป้าหมายของรัฐบาลบรรลุผลสำเร็จ และทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงกลุ่มสินค้าที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น เช่นการสร้างแรงจูงใจให้ใช้รถไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ด้วยการลดภาษีสรรพสามิต ลดภาษีอากรขาเข้า ลดราคารถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

ด้านตัวแทนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แสดงวิสัยทัศน์มุ่งสนับสนุนให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการเปลี่ยนผ่านนี้ทุกกลุ่มในตลาดทุนเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน เพื่อปรับรับโอกาสก่อนความท้าทายกลายเป็นวิกฤต