'เศรษฐา' ปลุกทุกภาคส่วนรับมือภาวะโลกเดือด

06 ต.ค. 2566 | 10:27 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ต.ค. 2566 | 10:27 น.

นายกฯ เปิดประชุมภาคี TCAC ระดมทุกภาคส่วนขับเคลื่อนรับมือภาวะโลกเดือด ปีหน้าเตรียมออกพันธบัตร 2,000 ล้านดอลลาร์สู่การเงินสีเขียว

วันที่ 6 ตุลาคม 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 2 (Thailand Climate Action Conference: TCAC 2023) ภายใต้แนวคิด "สานพลัง เสริมภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ สร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน" เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้ในการดำเนินงานของประเทศซึ่งจะเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกัน ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยมีคณะรัฐมนตรี เอกอัครราชทูต หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย

 

นายกฯ ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้กลายมาเป็นปัญหาเร่งด่วนและทวีความรุนแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยจึงให้ความสำคัญและพยายามอย่างเต็มที่ในทุกวิถีทางเพื่อต่อสู้กับวิกฤตสำคัญนี้ แต่การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจำต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม โดยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมในวันนี้จะเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนความคิด สร้างความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ๆ และร่วมกันขับเคลื่อนในเชิงปฏิบัติ และเชื่อมั่นว่าหากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง จะสามารถบรรลุสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ได้

 

นายกฯ เผยว่าระหว่างเข้าร่วมการประชุม UN General Assembly ครั้งที่ 78 (UNGA78) ที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถือเป็นหนึ่งในวาระสำคัญ โดยได้หารือร่วมกับผู้นำประเทศต่างๆ รวมถึงได้เน้นย้ำอย่างหนักแน่นไปยังประชาคมโลกถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการเร่งรัดการบรรลุเป้าหมาย SDGs

 

ในระหว่างการประชุมสุดยอด Climate Ambition Summits ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 38 ประเทศที่ได้รับเลือกให้นําเสนอแผนและพันธกรณี โดยนายกฯ ได้ยืนยันว่าประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2608 และสอดคล้องกับเป้าหมายการพยายามควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสภายใต้ความตกลงปารีสอีกด้วย

 

\'เศรษฐา\' ปลุกทุกภาคส่วนรับมือภาวะโลกเดือด

 

ด้านภาคพลังงาน รัฐบาลมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง รวมถึงการเตรียมการยกเลิกผลิตพลังงานโดยใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน ภายในปี 2593 ซึ่งจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในด้านพลังงานได้ 15% ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลใหม่ได้วางแผนเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน ผ่านโครงการ "Utility Green Tariff" สนับสนุนการใช้โซลาร์รูฟท็อปและการวัดแสงสุทธิ (Net Metering) รวมถึงสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ

 

ภาคการเกษตร เป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหาร รัฐบาลได้เริ่มโครงการนำร่องเพื่อปรับเปลี่ยนการทำนาแบบเดิมไปสู่การผลิตข้าวที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ วิธีนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งยังเพิ่มผลผลิต รวมถึงมุ่งเน้นการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ BCG เพื่อพัฒนาสังคมแบบองค์รวม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมทั้งนโยบายเพิ่มคุณค่าให้กับความหลากหลายทางชีวภาพ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจที่เน้นนวัตกรรม ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพของทรัพยากรหมุนเวียนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน

 

ภาคป่าไม้ รัฐบาลมุ่งปกป้องป่าไม้และเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอน และตั้งเป้าหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียวทุกประเภทให้ครอบคลุมร้อยละ 55 ของพื้นที่ทั้งหมดภายในปี 2580 ซึ่งจะช่วยเพิ่มการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 120 ล้านตันต่อปี

 

ภาคการเงินสีเขียว ระหว่างการเข้าร่วมการประชุม Financing for the Future Summit นายกฯ ได้เน้นย้ำว่ารัฐบาลไทยส่งเสริมกลไกการเงินสีเขียว ผ่านการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ปัจจุบันสามารถระดมทุนได้ถึง 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนำไปสนับสนุนโครงการต่างๆ ได้มากมาย รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินสายใหม่ และโครงการปรับปรุงระบบบริหารจัดการน้ำ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนทั่วโลก และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

ในปีหน้ารัฐบาลวางแผนออกพันธบัตรที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน (Sustainability Linked Bonds) มุ่งระดมทุนให้ได้ประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศไทยจะอยู่แถวหน้าในตลาดการเงินสีเขียว พร้อมทั้งพัฒนาการจัดทำมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (Thailand Green Taxonomy) เพื่อเป็นเครื่องกำหนดมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคการเงิน สามารถกำหนดนโยบายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และการลงทุน ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยในทุกมิติ

 

นายกฯ เล็งเห็นถึงโอกาสสำหรับประเทศไทยและภาคเอกชนในการก้าวไปสู่ความยั่งยืน ด้วยการเปลี่ยนกระบวนการในภาคการผลิตและบริการ ซึ่งหลายองค์กรได้ผลักดันและส่งเสริมมาตรการที่ยั่งยืนในปัจจุบัน โดยรัฐบาลเตรียมการเพื่อก้าวไปพร้อมกับองค์กรเหล่านี้ อาทิ การเตรียมการผลิตภายในประเทศและการค้าระหว่างประเทศอย่างเต็มที่ สำหรับการบังคับใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) ในระยะแรก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้แก่ ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า และอลูมิเนียม ก่อนการบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2569

 

ทั้งนี้นายกฯ ยังเน้นย้ำในการให้ความสำคัญกับโอกาสนี้ในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่การเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน ด้วยการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมด้านการผลิตและการบริโภค และหันมายึดหลักความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

 

สำหรับการประชุม COP28 ที่กำลังจะมาถึง นายเศรษฐา ยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่จะให้มีการสนับสนุนในหลายมิติ เช่น การเข้าถึงเทคโนโลยี การสนับสนุนทางการเงิน และการเสริมสร้างขีดความสามารถ เพื่อให้มั่นใจว่าจะบรรลุตามเป้าหมายร่วมกัน

 

นอกจากนี้ รัฐบาลได้จัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมขึ้น เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเร่งผลักดันให้ผ่านพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อควบคุมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบบังคับ ซึ่งส่วนนี้จะวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

 

\'เศรษฐา\' ปลุกทุกภาคส่วนรับมือภาวะโลกเดือด \'เศรษฐา\' ปลุกทุกภาคส่วนรับมือภาวะโลกเดือด \'เศรษฐา\' ปลุกทุกภาคส่วนรับมือภาวะโลกเดือด