เมื่อ Net Zero เป็นหนึ่งในทางรอดของมนุษยชาติ เเละการดำรงชีวิตอยู่บนโลก โดยไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตมากไปกว่านี้ จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องสนใจและให้ความสำคัญ นอกจากนี้ยังมีกลไกด้านการลดก๊าซเรือนกระจกจากต่างประเทศ เช่น "สหภาพยุโรป" บังคับใช้กลไกการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยประมาณ 14,700 ล้านบาท "สหรัฐอเมริกา" อยู่ระหว่างการเสนอ Clean Competition Act หรือ CCA
ขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง "สิงคโปร์" มีการบังคับใช้ภาษีคาร์บอน มีอัตราภาษีเริ่มต้น 5 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อตันคาร์บอน gg]tจะเพิ่มขึ้นเป็น 25 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อตันคาร์บอน ในปี 2567 – 2568 และเพิ่มขึ้นเป็น 45 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อตันคาร์บอน ในปี 2569 – 2570
อีกทั้งมีแรงกดดันจากบริษัทต่างชาติที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่อุปทาน และกองทุนที่ระดมเงินทุนจากผู้ลงทุน (Private Equity Fund) จะไม่สามารถลงทุนในบริษัทที่มีคะแนน ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ต่ำ
แรงกดดันดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันและเศรษฐกิจของประเทศไทย จึงต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อรักษาความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ความได้เปรียบภายใต้ข้อกำหนดด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าว และความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก รวมถึงป้องกันการกีดกันทางการค้าภายใต้กลไกรักษ์โลก
ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มเปราะบางเสี่ยงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับ 9 ตามการรายงานของ German Watch รวมถึงการประเมินของ Climate Action Tracker หากไทยยังดำเนินมาตรการแบบปัจจุบัน (Critically Insufficient) จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ อีกทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยใน ปี 2562 ปล่อยกว่า 372 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เป็นอันดับ 20 ของโลก มาจากภาคพลังงานมีสัดส่วนการปล่อยมากถึง 70% ของมวลรวมทั้งหมดของประเทศ ในขณะที่สัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียนภายในประเทศมีเพียง 13% ของพลังงานไฟฟ้ามวลรวมทั้งหมด
แม้จะพัฒนาโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการซื้อขายคาร์บอนเครดิต แต่ยังไม่เพียงพอและมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศ Green Taxonomy หรือ มาตรฐานกลางอ้างอิงจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทย เพื่อให้สถาบันทางการเงินใช้ประเมินสถานะของตนเองและลูกค้า ในการออกผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่สอดคล้องกับ NDC ของประเทศไทย
นอกจากนี้เริ่มปรับใช้แนวทางภาคบังคับมากขึ้นแทนที่ภาคสมัครใจ ผ่านการร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะกำหนดเกณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือใช้พลังงานสูง หากมีมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การได้รับบทลงโทษ อีกทั้ง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กำหนดให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดฯ ต้องเปิดเผยข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ Carbon Footprint ในรายงานฉบับเดียว เพื่อยกระดับการเปิดเผยข้อมูล ESG และขณะนี้กำลังพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อเปิดเผย Carbon Footprint ขององค์กรในประเทศไทย
นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WAVE BCG จำกัด ระบุว่า ความจำเป็นเร่งด่วนในการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ในการบรรลุเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5-2 องศาฯ เมื่อเทียบกับระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม จากการประชุม Climate Ambition Summit 2023 ที่ผ่านมา ไทยได้ให้คำมั่น ตั้งเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 เเละเพิ่มเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDC) ที่เพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 40% ภายในปี 2573
อีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยไทยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคือ "ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC)" เป็นเครื่องมือที่จะสนับสนุนการเพิ่มขึ้นและการขยายของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ใช้อ้างสิทธิ์ใน Emission Scope 2 ซึ่งเป็นหนึ่งในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าขององค์กร โดยมาตรฐานการขึ้นทะเบียน RECs ภายในประเทศไทย เป็นมาตรฐาน International Renewable Energy Certificate: I-REC ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล กว่า 48 ประเทศทั่วโลก และเป็นที่นิยมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยประเทศไทยมีปริมาณการขึ้นทะเบียนมากถึง 16 ล้าน RECs ตั้งแต่ปี 2560-2566
เมื่อ RECsกลายเป็นสิ่งที่ต้องการมากขึ้นในองค์กรที่มีการเปิดเผยข้อมูล ESG
การซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะในสิงค์โปร์ ซึ่งบริษัทชั้นนำอย่าง Starhub Singtel และ Grab สนับสนุนการซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียนโดยมีประเทศไทยและเวียดนามเป็นคู่ค้าหลัก "โทเคนดิจิทัล" จึงเครื่องมือทางการเงินในการลงทุนรูปแบบใหม่
โทเคนดิจิทัลที่มี RECs เป็นสินทรัพย์อ้างอิง
คาดว่าจะมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ลงทุนรายใหญ่และภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีพันธกิจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก วัตถุประสงค์ในการพัฒนาโทเคนดิจิทัลที่มี RECs เป็นสินทรัพย์อ้างอิง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระดับโลก ให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศภายในปี 2593
นางสาวจิตตินันท์ ชาติสีหราช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) บริษัทภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) กล่าวว่า "Token X" เล็งเห็นถึงบทบาทสำคัญของโทเคนดิจิทัล ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน Asset Class ที่จะเข้ามามีบทบาทในโลกยุคใหม่ และมีความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศมากขึ้น จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นคำตอบของภาคธุรกิจและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการนำโทเคนดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชนประสานเข้ากับธุรกิจ สินทรัพย์ และโครงการของผู้ประกอบการ เพื่อผลักดันในเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของทุกคนอย่างยั่งยืน
3 บริษัทร่วมกันผลักดันตลาด RECs ให้มีเสถียรภาพมากขึ้น
Token X ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานก.ล.ต. และ ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยี Blockchain Solution มุ่งสร้างภาคธุรกิจให้ขับเคลื่อนความก้าวหน้า ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจไทยผ่านการระดมทุนที่มีประสิทธิภาพ
WAVE BCG ผู้ให้บริการด้านClimate Solutions ครบวงจร มีความเชี่ยวชาญด้านตลาดคาร์บอนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งการให้คำปรึกษาสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย การเป็นผู้พัฒนา การศึกษาและจัดหาคาร์บอนเครดิต รวมถึงการซื้อขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน
Climate Offset Accelerator ผู้มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการบริหารจัดการ RECs ในฐานะผู้ออกโทเคนดิจิทัลที่มี RECs เป็นสินทรัพย์อ้างอิง