ผลศึกษาขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency) หรือ ไออีเอ ชี้ว่า ปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จำนวนมากกว่า 2 ล้านคันวิ่งอยู่บนท้องถนนทั่วโลก ความนิยมในรถประเภทนี้เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยในปี 2559 ยอดจำหน่ายรถอีวีทั่วโลกขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 60% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เหตุผลหลักมาจากราคาจำหน่ายซึ่งถูกลง และผู้คนก็หันมาหายานยนต์ทางเลือกใหม่ที่ช่วยประหยัดพลังงาน ดังนั้นในปีที่ผ่านมา เราจึงได้เห็นยอดขายรถอีวีโดยรวมทั่วโลกสูงถึง 750,000 คัน เรียกว่าเป็นการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด เพราะถ้าย้อนไปในปี 2558 โลกเพิ่งมีการใช้รถอีวีราวๆ 1 ล้านคันเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีกว่า 2 ล้านคันแล้ว
ตลาดหลักๆ ที่รถอีวีมียอดขายสูงโดดเด่นนั้น คือ ประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และประเทศแถบยุโรป มียอดขายรวมๆกันคิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% ของยอดขายรถอีวีทั้งหมด
แชมป์อันดับ 1 คือตลาดจีน ที่ครองส่วนแบ่งยอดขายตลาดรถอีวีโลกในขณะนี้ที่ประมาณ 40% นอกจากรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว จีนยังมีรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและรถบัสไฟฟ้าวิ่งอยู่บนท้องถนนจำนวนกว่า 200 ล้านคัน และกว่า 3 แสนคัน ตามลำดับ เนื่องจากรัฐบาลจีนพยายามส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาอากาศเป็นพิษทั้งการปล่อยควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมและการปล่อยไอเสียของยานยนต์บนท้องถนน
ปัจจุบัน มี 10 ประเทศ ที่แสดงเจตนารมณ์ (แต่ไม่ผูกพันเป็นพันธะสัญญา) ที่จะส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 30% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2030 หรือในอีก 13 ปีข้างหน้า หลายประเทศทำได้รุดหน้าจนแทบจะแตะเป้าแล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา (2559) เช่น นอร์เวย์ ที่ยอดขายรถยนต์อีวี ครองส่วนแบ่งถึง 29% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ ส่วนประเทศยุโรปอื่นๆ อาทิ เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน มีสัดส่วนยอดขายรถอีวีที่ 6.4% และ 3.4% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม การจะเดินไปสู่เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรถอีวีถึง 30% จำเป็นต้องอาศัยแรงหนุนอย่างเต็มที่และต่อเนื่องจากภาครัฐ สหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดีบารัก โอบามานั้น ตั้งเป้าเพิ่มการใช้รถอีวีบนท้องถนนสหรัฐฯ ถึง 1 ล้านคันภายในปี 2015 หรือพ.ศ. 2558 แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ยังทำไม่ได้ตามนั้นเพราะปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 2.8 แสนคันเท่านั้น ส่วนเยอรมนีภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหญิงเหล็ก อันเกลา แมร์เคิล ตั้งเป้ามีการใช้รถอีวีในประเทศเยอรมนี 1 ล้านคันภายในปี 2020 นักวิเคราะห์กล่าวว่า การที่โลกจะบรรลุเป้าหมายให้มีการใช้รถอีวี 9-20 ล้านคันภายในปี 2020 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นตัวเพิ่มอุณหภูมิโลกนั้น เอาเข้าจริงก็คงต้องใช้เวลาอีกนานนับสิบปีเลยทีเดียว ไม่ใช่ในอีก 3-4 ปีอย่างที่ตั้งเป้าหมายกันไว้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,272 วันที่ 22 - 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560