บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 1/2563 พลิกขาดทุน 161.17 ล้านบาท ลดลง 110% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,508 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบเชิงลบจากการปรับมาใช้มาตรฐานบัญชี TFRS 16 ประมาณ 200 ล้านบาท แตกต่างกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่บริษัทได้รับผลกระทบเชิงบวกจากการเพิ่มมูลค่าของ DIF ประมาณ 1.2 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามหากไม่รวมผลกระทบจากมาตรฐานบัญชีดังกล่าวกลุ่มทรูจะมีกำไร 48 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 256
นายอาณัติ เมฆไพบูลย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส1/2563 ว่ารายได้เติบโตต่อเนื่องที่ร้อยละ 3 และรายได้จากบริการหลักเติบโตร้อยละ 5 จากปีก่อน ในขณะที่ EBITDA เติบโตแข็งแกร่งร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปีก่อนเป็น 8.5 พันล้านบาท หลังการปรับมาใช้มาตรฐานบัญชี TFRS 16 EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 12.2 พันล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Operating profit) เป็น 2.3 พันล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากรายได้การให้บริการของทรูมูฟ เอช ที่เพิ่มในอัตราร้อยละ 5.2 จากปีก่อน เหนือกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม รวมทั้งมีฐานผู้ใช้บริการรายเดือนเพิ่มขึ้นสุทธิมากกว่า 3 แสนราย สวนทางกับผู้ให้บริการรายอื่นในอุตสาหกรรมที่มีรายได้ลดลงในไตรมาส 1 ปี 2563 ทั้งนี้ กลุ่มทรูจะมุ่งเน้นในการเพิ่มวินัยทางการเงิน บริหารค่าใช้จ่ายและเพิ่ม productivity ในทุกภาคส่วน เพื่อสร้างกำไรที่เติบโตอย่างยั่งยืนและพร้อมปรับตัวรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจภายใต้ COVID-19 ต่อไป
ทรูมูฟ เอช มีรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็น 20.1 พันล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2563 ส่วนใหญ่จากการเติบโตในอัตราเลขสองหลักของรายได้จากกลุ่มลูกค้าระบบรายเดือน แม้รายได้ที่เกี่ยวข้องกับบริการโรมมิ่งและนักท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงปลายไตรมาส ทรูมูฟ เอช ยังมีรายได้ที่เติบโตจากไตรมาสก่อน สวนทางกับอุตสาหกรรม อันเป็นผลจากกลุ่มลูกค้าระบบรายเดือนซึ่งมีจำนวนผู้ใช้บริการรายใหม่สุทธิกว่า 3 แสนรายในไตรมาส 1 ปี 2563 ส่งผลให้ทรูมูฟ เอช มีฐานผู้ใช้บริการรวมเป็น 30.3 ล้านราย แบ่งเป็นลูกค้าระบบรายเดือน 8.6 ล้านราย และระบบเติมเงิน 21.7 ล้านราย ทั้งนี้ เครือข่ายคุณภาพสูงของทรูมูฟ เอช ซึ่งได้รับการยืนยันจากสถาบันทดสอบคุณภาพระดับโลกอย่าง nPerf ในฐานะผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ดีที่สุดในประเทศไทยประจำไตรมาส 1 ปี 2563 นับเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน โดยเฉพาะในหมวดการทดสอบการเบราว์ซิ่งและการสตรีมมิ่ง และการผสานความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งด้านดีไวซ์ ช่องทางการขายและจัดจำหน่ายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของรายได้และการขยายฐานผู้ใช้บริการ นอกจากนี้ การมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และระบบสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละกลุ่มลูกค้าได้ตรงจุด ตลอดจนความต้องการใช้งานดาต้าและธุรกรรมดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น จะช่วยส่งเสริมการเติบโตให้กับทรูมูฟ เอช ต่อไป
ทรูออนไลน์ มีรายได้จากการให้บริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต 6.5 พันล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2563 คิดเป็นการเติบโตร้อยละ 4.7 จากปีก่อนหน้า จากผลตอบรับที่ดีต่อแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1Gbps รวมถึงแพ็กเกจคอนเวอร์เจนซ์ที่ผสานคอนเทนต์คุณภาพผ่าน TrueID TV ได้อย่างคุ้มค่า ทำให้ทรูออนไลน์ มีฐานผู้ใช้บริการบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ต เพิ่มขึ้นเป็น 3.9 ล้านราย ด้วยจำนวนผู้ใช้บริการรายใหม่สุทธิ 55 พันรายในระหว่างไตรมาส ทั้งนี้ ทรูออนไลน์ มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในการใช้งานบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มสูงขึ้น ตามแนวโน้มของการทำงานจากบ้านและธุรกรรมออนไลน์ที่เป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเปิดตัวบริการพิเศษ ได้แก่ การปรับเปลี่ยนระดับความเร็วอินเทอร์เน็ตให้ตรงตามการใช้งานของลูกค้า การเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตสำหรับลูกค้าที่ต่อสัญญา แพ็กเกจ VLearn สำหรับนิสิต นักศึกษา และ VWork สำหรับกลุ่มคนทำงาน เพื่อรองรับแพลตฟอร์มการประชุมออนไลน์ “True Virtual World” พร้อมสิทธิพิเศษผ่าน TrueID TV ซึ่งผู้บริโภคสามารถเลือกรับชมคอนเทนต์คุณภาพระดับโลกและรับสิทธิประโยชน์ผ่านการสะสมและใช้ทรูพอยท์ โดยแพ็กเกจเหล่านี้ได้รับผลตอบรับที่ดีจากตลาด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติมผ่านสินค้าและบริการที่หลากหลายภายใต้กลุ่มทรู
ทรูวิชั่นส์ มีรายได้จากการให้บริการ 2.6 พันล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2563 ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้การจัดงานอีเว้นต์บันเทิงและรายการกีฬาสดต่างๆ ถูกเลื่อนออกไป ส่งผลให้ทั้งรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องลดลงเช่นกันโดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2563 ทรูวิชั่นส์มีฐานลูกค้าประมาณ 4 ล้านราย นอกจากทรูวิชั่นส์จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการอื่นๆ ของกลุ่มทรูภายใต้ยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์ด้วยคอนเทนต์คุณภาพทั้งจากในประเทศและต่างประเทศแล้ว ทรูวิชั่นส์ยังสร้างการเติบโตผ่านเครือข่ายInfluencer หรือผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ของธุรกิจออนไลน์สเตชัน ทั้งด้านการสร้างรายได้เพิ่มเติมและการขยายฐานลูกค้าให้กับหลายธุรกิจภายใต้กลุ่มทรูผ่านการทำการตลาดที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น
ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เดินหน้าสร้างความแตกต่างให้กับกลุ่มทรู ด้วยธุรกิจและการให้บริการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกของปี 2563 แพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง ทรูไอดี มียอดดาวน์โหลดสูงสุดในกลุ่มแอปพลิเคชันหมวดบันเทิง ทั้งในระบบแอนดรอยด์และ iOS โดยมียอดรับชมวิดีโอต่อเดือนสูงถึง 141 ล้าน และมียอดรับชมบริการวิดีโดออนดีมานด์ (VOD) สูงสุดที่ 36.9 ล้าน นับเป็นการเติบโตถึง 400% เมื่อเทียบกับปีก่อน อีกทั้งยังมีจำนวนการสมัครรับชมคอนเทนต์ทรูไอดีเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ต้นปีเป็น 285,000 รายการ นอกจากนี้ ฟังก์ชันที่เพิ่มเข้ามา เช่น การแชทและการโทรหากันผ่านแอปพลิเคชัน ทรูไอดี ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ใช้งานต่อเดือนสูงถึง 280,000 ราย ในขณะที่กล่องทรูไอดี ทีวี ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องด้วยยอดรวม 843,000 กล่อง ทั้งนี้ เพื่อต่อยอดกลยุทธ์การเสริมสร้างศักยภาพดิจิทัลให้กับทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโซลูชั่น ได้มอบความช่วยเหลือในช่วงภาวะวิกฤตนี้ ด้วยบริการ “Virtual COVID-19 Clinic” ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ตลอด24 ชั่วโมงบนช่องทางออนไลน์ ผ่านความร่วมมือกับเอไอเอและเครือโรงพยาบาลสมิติเวช นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโซลูชัน ยังคงเดินหน้าขยายความร่วมมือและฐานลูกค้าด้วยการมุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอนวัตกรรมโซลูชันที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างครบวงจรในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมภาคการเกษตร (Agriculture) อุตสาหกรรมภาคการค้าปลีก (Retails) อุตสาหกรรมภาคการผลิต (Manufacturing) อุตสาหกรรมด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) อุตสาหกรรมคมนาคมขนส่ง (Logistics) และอุตสาหกรรมภาคสุขภาพและสาธารณสุข (Healthcare) โดยมีจำนวนอุปกรณ์เซ็นเซอร์ IoT ที่เชื่อมต่อและใช้บริการแล้วกว่า 242,000 อุปกรณ์