ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้ก่อตั้ง และซีอีโอ บริษัทเอ็ดดูเคชั่น เทคโนโลยี จำกัด ผู้พัฒนาแอพพลิเคชัน “StartDee” เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้มีการประกาศเปิดเทอมโรงเรียนออนไลน์ไปเมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ให้เด็กนักเรียนได้เรียนฟรีพร้อมกันทั่วประเทศระหว่างโรงเรียนเลื่อนเปิดเทอม พบว่าแอพพลิเคชัน StartDee มียอดดาวน์โหลดสูงถึง 100,000 ครั้ง ภายใน 3 สัปดาห์ ทั้งนี้จากบิ๊กดาต้าเผยให้เห็นว่าฤติกรรมเด็กไทยที่ เรียนออนไลน์ มี 3 รูปแบบ ได้แก่ Power Learner, Active Learner และ Passive Learner โดย StartDee ชู 3 จุดแข็ง จากบิ๊กดาต้า คือ 1.เข้าถึงทั่วประเทศ 2.บทเรียนดีที่ตอบโจทย์ 3.เข้าใจนักเรียน
1. เข้าถึงทั่วประเทศ
ภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์ พบว่ามีเด็กนักเรียน 1,196 โรงเรียนจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ เข้ามาลงทะเบียนเรียนในระบบของ StartDee โดย 15% ของโรงเรียนเหล่านี้ มีสัดส่วนนักเรียนยากจนเกินครึ่ง เหตุที่ StarDee สามารถเข้าถึงเด็กไทยได้อย่างครอบคลุม มีปัจจัยหลักมาจากการออกแบบบทเรียนสามารถเข้าถึงได้อย่างง่าย ผ่านสมาร์ทโฟนทุกรุ่น รองรับทุกระบบ ทั้ง iOS และ Android ซึ่งสมาร์ทโฟนนับว่าเป็นอุปกรณ์ที่สามารถเข้าถึงเด็กไทยได้มากถึง 86% ทั่วประเทศ (อ้างอิงจากฐานข้อมูลของ OECD)
2. บทเรียนดีที่ตอบโจทย์
เมื่อเจาะลึกไปที่ Big Data เกี่ยวกับพฤติกรรมการ เรียนออนไลน์ ของเด็กนักเรียนทั่วประเทศ พบว่ามีรูปแบบการ เรียนออนไลน์ ที่เหมาะสำหรับเด็กไทย อยู่ 3 ประการหลัก ได้แก่
• บทเรียนดี ต้อง “สั้น กระชับ”
จากการวิเคราะห์พฤติกรรมการรับชมวิดิโอกว่า 3,000 รายการของ StartDee พบว่าคลิปวิดีโอที่มีความยาวประมาณ 2-3 นาที มีอัตราการชมคลิปจนจบสูงถึง 70-80% ในขณะที่คลิปซึ่งมีความยาวเกิน 6 นาที จะมีจำนวนคนรับชมคลิปจนจบน้อยลงเรื่อยๆ เพราะกลุ่ม Gen Z ซึ่งมีสมาธิอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลาไม่นานนัก
• บทเรียนดี ต้อง “ปรับช้า-เร็วได้ตามใจ”
คลิปที่มีเนื้อหาและหัวข้อย่อยจำนวนมาก มีจำนวนการหยุดรับชมมากกว่าคลิปที่มีความยาวไล่เลี่ยกัน แต่มีเนื้อหาย่อยน้อยกว่า ถึง 1.5 เท่า โดยจุดที่หยุดรับชมนั้นมักเป็นเนื้อหาสำคัญของบทเรียน แสดงให้เห็นว่าการ เรียนออนไลน์ สามารถช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพขึ้นได้ เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถหยุดรับชมคลิป เลือกปรับระดับความเร็วได้หลากหลาย และให้เวลาในการทำความเข้าใจบทเรียน
• บทเรียนดี ต้อง “มีเรื่องราว”
ทั้งนี้ StartDee ได้นำแอนิเมชันบทบาทสมมติมาเล่าให้ต่อเนื่องตลอดทั้งบทเรียน โดยเมื่อพิจารณา 10 อันดับคลิปวิดิโอที่ได้รับความนิยมสูงสุดภายในแอพพบว่าทุกคลิปล้วนมีความสั้น กระชับ และเป็นเรื่องราว ได้แก่ “เปิด” บทเรียนอย่างน่าสนใจด้วยบทบาทสมมติ , “เล่า” ด้วย story ประจำบทเรียนที่สอดคล้องกันในทุกหัวข้อย่อย , “ลื่นไหล” ด้วยแอนิเมชันและ real-time pop-up text, “ปิด” ด้วยการสรุปรวบยอดก่อนจบคลิป
3. เข้าใจนักเรียน
จาก BIG DATA ของ StartDee พบพฤติกรรมเด็กเรียนออนไลน์ แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ Power Learner, Active Learner และ Passive Learner กลุ่มแรก คือ Power Learner เป็นกลุ่มนักเรียนที่มีความขยัน กระตือรือร้น มีทัศนคติที่ดีต่อการ เรียนออนไลน์ และตลอด 3 สัปดาห์ นักเรียนกลุ่มนี้เข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นในทุกสัปดาห์ โดยระยะเวลาการเข้าใช้แอพ StartDee รวมในสัปดาห์ที่ 3 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ 2 ถึง 43% ทั้งยังมียอดการทำแบบฝึกหัดโดยเฉลี่ยมากขึ้นถึง 14.8% สำหรับเด็กกลุ่มนี้
กลุ่มที่สอง คือ Active Learner เป็นผู้เรียนกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด มีมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ใช้ทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการเข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่อง แต่ยังใช้เวลาเรียนในแอพพลิเคชันไม่มากนัก โดยส่วนใหญ่ยังคุ้นเคยกับการเรียนที่ได้พบเจอและมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน แต่ก็พร้อมเปิดรับแพลตฟอร์ม เรียนออนไลน์ และใช้เป็นแหล่งข้อมูลเสริมในการทบทวนเนื้อหาที่โรงเรียน และทำความเข้าใจกับบทเรียนที่ยังไม่เข้าใจ เพื่อตอบโจทย์การ เรียนออนไลน์ ของเด็กกลุ่มนี้
กลุ่มสุดท้าย คือ Passive Learner เป็นนักเรียนกลุ่มที่เข้ามาลงทะเบียนเรียนและทดลองใช้แอพพลิเคชัน StartDee แล้วแต่ยังขาดการเข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่อง เด็กกลุ่มนี้ใช้เวลาในการเรียนต่อสัปดาห์ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับสองกลุ่มก่อนหน้า ทั้งยังมองว่าการ เรียนออนไลน์ เป็นรูปแบบการเรียนที่น่าเบื่อ เน้นใช้งานออนไลน์แพลตฟอร์มเพื่อหาความบันเทิง