นาย เดวิด โจว ผู้อำนวยการบริหารงานแฟรนไชส์ BEST Express (เบสท์ เอ็กซ์เพรส) บริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดธุรกิจขนส่งพัสดุด่วนทั่วประเทศ นับว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2017-2019) โดยมีการขยายตัวเฉลี่ย 40% ต่อปี สอดคล้องกับตลาด E-commerce ของไทยที่เติบโตเฉลี่ย 18% ต่อปี (อ้างอิงตามผลประเมินจาก Euromonitor ครั้งล่าสุด) ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด19 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) มีการปรับพฤติกรรมการซื้อขายของผู้บริโภคจากออฟไลน์สู่ออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้บริษัทขนส่งพัสดุเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนการค้าขายออนไลน์มากขึ้นเช่นกัน เพื่อช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้ทำการค้าขายออนไลน์ในวงกว้าง และเพิ่มมูลค่าตลาดธุรกิจ E-Commerce มากขึ้นตามไปด้วย โดยภาพรวมการแข่งขันตลาดขนส่งพัสดุด่วนในประเทศไทยจะแข่งขันในเรื่องของ ความรวดเร็วและคุณภาพการให้บริการ ราคา โปรโมชั่น แคมเปญในช่วงเทศกาลต่าง ๆ และพรีเซ็นเตอร์ที่จะมาช่วยเพิ่มพลังการรับรู้และจดจำแบรนด์ในวงกว้าง
ในช่วงสถานการณ์โควิดและช่วงหลังโควิดกับยุค New Normal (วิถีชีวิตใหม่) ผู้บริโภคได้เปลี่ยนพฤติกรรมจาก ออฟไลน์ (Offline) สู่ออนไลน์ (Online) มากขึ้น เรียกได้ว่าช่วงนี้มูลค่า E-Commerce และ Volume การส่งพัสดุก็โตแบบก้าวกระโดดถึง 3 เท่า ทำให้ต้นทุนค่าจัดส่งพัสดุลดลง รวมถึงช่วงนี้มีการขยาย HUB ศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มขึ้น ทำให้เรื่องของ Self-operation ค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการภายในองค์กรลดตามลงไปด้วย ตลอดจนการเพิ่มรถขนส่งพัสดุขนาดใหญ่เข้ามาเพื่อเดินทางข้ามจังหวัดเพิ่มขึ้น จึงทำให้ต้นทุนค่าขนส่งลดลง และด้วยมูลค่า E-Commerce และ Volume การส่งพัสดุเติบโตอย่างมหาศาลขนาดนี้ ทาง BEST Express จึงขอมอบสิทธิพิเศษปรับราคาค่าส่งพัสดุด่วนครั้งใหญ่ ตกใจทั่วประเทศ เริ่มต้นที่ 25 บาท (ปกติ 30 บาท) เพื่อหวังส่งเสริมให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มีการทำการค้าขายออนไลน์เพิ่มขึ้น กับแคมเปญที่มีชื่อว่า “BEST Express ปรับราคาใหม่ เริ่มต้น 25 บาท (ปกติ 30 บาท) ตกใจครั้งใหญ่ทั่วประเทศ”
“การปรับราคาค่าจัดส่งพัสดุใหม่ครั้งนี้ถือเป็นการปรับราคาครั้งใหญ่เพื่อตอบรับกระแสตามคำเรียกร้องของผู้ใช้บริการทั่วประเทศ รวมถึงกระตุ้นการรับรู้และสร้างการจดจำภาพลักษณ์ของแบรนด์ในวงกว้าง ด้วยราคาที่คุ้มค่าต่อการใช้บริการส่งพัสดุทั่วไทย ไปไหน ไปกัน ทำให้ผู้ใช้บริการมีทางเลือกมากขึ้น และ BEST Express ก็นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่พร้อมให้บริการสู่ความเป็นเลิศ โดยปรับราคาใหม่ ตั้งแต่วันที่17 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป” นายเดวิด กล่าว
นอกจากจะปรับราคาค่าส่งพัสดุ เริ่มต้นที่ 25 บาท (ปกติ 30 บาท) แล้ว BEST Express ยังรุดหน้าขยายแฟรนไชส์ท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าภายในปีนี้ 800 สาขา และในปี 2565 จะเพิ่มอีกกว่า 2,000 สาขา อาทิ First Station (แฟรนไชส์หลัก) Sub-Station (แฟรนไชส์รอง) Shop (ช้อป) และ Drop Point (จุดรับพัสดุ) เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และให้บริการอย่างเต็มศักยภาพ
“จากสถานการณ์โควิด19 ที่ผ่านมา ทำให้เรามองเห็นช่องทางการทำตลาดมากขึ้นนอกจากทำตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักแล้ว เรายังมุ่งเน้นการทำตลาดในเชิงCSR เพิ่มขึ้นด้วย เพราะในฐานะที่เราเป็นธุรกิจด้านบริการ ทำให้ยิ่งต้องมุ่งเน้นเพื่อช่วยเหลือสังคมมากขึ้นด้วย โดยกิจกรรมการตลาดในครึ่งปีหลังนี้เราได้วางแผนการตลาดให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ New Normal ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งเพิ่มการลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้การขนส่งพัสดุด่วนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจที่ทันสมัย เพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่ว่า “เราจะเสริมสร้างธุรกิจ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น” ในโลกยุคดิจิตอล” นายเดวิด กล่าวเสริม
ความท้าทายที่พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์โควิดและยุค New Normal (วิถีชีวิตใหม่) เรียกได้ว่า ช่วงนี้มูลค่า E-Commerce และVolume การส่งพัสดุมีมูลค่าเติบโตอย่างมหาศาลแต่มาพร้อมด้วยความท้าทายที่หลากหลาย อาทิ ความรวดเร็วในการให้บริการ และการกระจายพัสดุจำนวนมหาศาลเพื่อส่งไปให้ถึงมือลูกค้าตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เราจึงได้มีการวางแผนรับมือเพื่อเตรียมรองรับการจัดการปริมาณพัสดุจำนวนมากไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการขยาย HUB ศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มขึ้น การเพิ่มรถขนส่งพัสดุขนาดใหญ่ รวมถึงมีแคมเปญช่วยเหลือเหลือผู้ประสบภัยโควิด “การเลิกจ้างงาน” โดยเปลี่ยนวิกฤตการจัดการจำนวนพัสดุมหาศาลให้เป็นโอกาสแก่บุคคลทั่วไปเข้ามาร่วมงานจัดส่งพัสดุกับ BEST Express โดยจัดแคมเปญ CSR “แค่มีรถก็ส่งพัสดุกับ BEST Express ได้” ซึ่งโครงการนี้ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นรถแบบไหนก็มาร่วมส่งพัสดุกับ BEST Express ได้ซึ่งนับว่าเป็นโครงการที่ช่วยรองรับการจัดการกับปริมาณพัสดุที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ที่ตกงานในช่วงวิกฤตโควิดอีกด้วย