จากวิกฤติของโควิด-19 ที่ผ่านมาในครึ่งแรกของปี 2563 นั้นส่งผลกระทบต่อ หลายธุรกิจแต่ในขณะเดียวก็เป็นการสร้างโอกาสให้กับอีกหลายธุรกิจเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจขนส่งอาหาร หรือ Food Delivery ที่ถือว่าเติบโตแบบก้าวกระโดดและมีมูลค่าถึง 35,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีหลัง ผู้นำแพลตฟอร์มฟู้ดดีลิเวอรีในประเทศไทยอย่าง Grab และ GET ต่างออกมาฟาดฟันกันด้วยแคมเปญหวังกระตุ้นยอดซื้อและดึงผู้บริโภคให้เข้ามาใช้งานเพิ่มขึ้น
นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่า แกร็บทำตลาดในประเทศไทยมากว่า 2 ปี และมีการจัดแคมเปญอย่างต่อเนื่องทุกเดือนโดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความตื่นเต้น ให้กับผู้บริโภค และเพิ่มยอดคำสั่งซื้อให้เติบโตขึ้น วิกฤติที่ผ่านมานั้นส่งผลกระทบต่อธุรกิจของแกร็บ โดยส่วนที่เป็นการขนส่งคนนั้นหายไปถึง 90% ขณะที่ธุรกิจขนส่งอาหารหรือ Food Delivery นั้นได้รับผลกระทบเชิงบวกจากมาตรการล็อกดาวน์
ปัจจุบันแกร็บมียอดดาวน์ โหลดทั้งหมดกว่า 14 ล้านครั้ง โดยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้ใหม่เพิ่มขึ้น ถึง 3 เท่า พาร์ทเนอร์คนขับเพิ่มขึ้นกว่า 40,000 คนและพาร์ทเนอร์ร้านอาหารใหม่เติบโตขึ้น 2.5 เท่า ทำให้ขณะนี้แกร็บมีพาร์ทเนอร์ ร้านอาหารกว่า 80,000 ร้านและพาร์ทเนอร์คนขับกว่า 1 แสนคน เรียกว่าภาพรวมในครึ่งแรกของปี 2563 มีการเติบโตมากกว่าเท่าตัว
ล่าสุดแกร็บได้เปิดตัวแคมเปญที่ใหญ่สุดของปี 2563 คือ GrabFood “Free Your Hunger” เลิกกินตามใคร กดสั่งตามใจ ที่เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ผู้บริโภค พบปัญหาคิดไม่ตกเพราะติดกับดักความเคยชินจนมักจะเลือกสั่งแต่อาหารแบบเดิมๆ จากข้อจำกัดต่างๆ เช่น ร้านอาหารอยู่ไกล โดยชูจุดเด่นแคมเปญด้วยร้านอาหารที่เข้าร่วมกว่า 30,000 ร้านค้าทั่วประเทศ ซึ่งได้มีการโปรโมทผ่านหนังสั้นที่กำกับโดย เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ และพรีเซ็นเตอร์หลักอย่าง BNK48 ที่มาร่วมแสดงตั้งเป้าที่จะเพิ่มคำสั่งซื้อและผู้ใช้บริการมากกว่า 2 เท่า และคาดว่าจะมี Most Often Used Brand ที่เป็นตัวชี้วัด Brand Loyalty ได้ถึง 60%
ปีที่ผ่านมาแกร็บ ประเทศไทยมียอดการทำรายการรวมว่า 160 ล้านครั้ง โดยกลยุทธ์ของแกร็บนั้นยังไม่มองถึงเรื่องการทำกำไร แต่จะเน้นสร้างสมดุลภายในธุรกิจที่ประกอบด้วย พาร์ทเนอร์คนขับ พาร์ทเนอร์ร้านอาหาร ผู้บริโภค และแกร็บ สำหรับภาพรวมตลาดฟู้ดดีลิเวอรีนั้นมีมูลค่ากว่า 35,000 ล้านบาท และคนไทยมีการเข้าถึงสมาร์ทโฟนกว่า 80% จึงมองเห็นทิศทางที่จะเติบโตเนื่องจากขณะนี้แกร็บให้บริการอยู่ใน 35 เมือง โดยมองว่ายังสามารถขยายบริการไปยังเมืองรองได้อีก และจะมีการขยาย Grab Kitchen จาก 3 สาขาเป็น 5-6 สาขาภายในสิ้นปีนี้ โดยกลุ่มผู้ใช้หลักของแกร็บคือกลุ่มคนในช่วงอายุ 20-39 ปี
ขณะที่นายภิญญา นิตยาเกษตรวัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ Gojek ประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากที่ก่อนหน้านี้ GET (เก็ท) ได้ประกาศรวมแอพพลิเคชันและแบรนด์กับ Gojek (โกเจ็ก) ภายใต้ทีมบริหารชุดเดิมของไทยที่ได้พัฒนาและ ก่อตั้งเก็ทเพื่อให้ทางโกเจ็กมาขับเคลื่อนและขยายธุรกิจต่อไป ปัจจุบันโกเจ็กมีผู้ใช้งานแอพพลิเคชันและพาร์ทเนอร์คนขับในระบบกว่า 2 ล้านคน และพาร์ทเนอร์ร้านอาหาร GoFood อีกกว่า 500,000 ร้าน ใน 200 เมืองทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่เก็ทนั้นมีร้านอาหารในระบบกว่า 20,000 ร้าน ที่ผ่านมาให้บริการไปแล้วกว่า 20 ล้านออเดอร์และสร้างโอกาสในการทำงานให้คนกว่า 60,000 คน ตั้งแต่เริ่มเปิดตัวมา
ทั้งนี้ล่าสุด เก็ทได้เปิดตัวแคมเปญ “GET Farewell Party” ส่งท้ายก่อนเตรียมรีแบรนด์สู่ Gojek มอบส่วนลดและคูปองร้านอาหารคาวหวานเจ้าดัง อาทิ บาสกิ้นร็อบบิ้นส์, ดร็อปบาย โด, อาซาอิ สตอรี่, คาเฟ่ ดอยตุง และจีราฟุ ซูชิ แอนด์ เบียร์บาร์ โดยหวังกระตุ้นยอดผู้ใช้ในครึ่งปีหลัง
: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,606 หน้า 16 วันที่ 3-5 กันยายน 2563