รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ สถาบันไอเอ็มซี (IMC Institute) เปิดเผยว่า อัตราการใช้งานระบบออโตเมชัน (Rate of Automation) ในปี 2563 นั้นอยู่ที่ 33% และอีก 67% นั้นยังมีการใช้กำลังคนในการทำงาน ขณะที่ในปี 2568 การใช้กำลังคนจะลดลงอยู่ที่ 53% และการใช้งานระบบออโตเมชันเพิ่มขึ้นเป็น 47% โดยเทรนด์ ในอนาคตแม้ว่าเรื่องของปริมาณงานจะหายไปมากเพราะมีเครื่องจักรเข้ามาทำงานแทน แต่ขณะเดียวกันก็จะมีงานใหม่เกิดขึ้น โดยในปี 2568 ตำแหน่งงานทั่วโลกนั้นจะลดลงอยู่ที่ราว 85 ล้านตำแหน่ง แต่ก็จะมีตำแหน่งงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 97 ล้านตำแหน่ง จากตัวเลขจะเห็นว่าคนจะไม่ตกงานและยังมีงานทำมากขึ้น โดยตำแหน่งงานที่จะลดลง ได้แก่ พนักงานป้อนข้อมูล, เลขานุการ, พนักงานบัญชี ขณะที่ตำแหน่งงานที่จะเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นงานด้านไอทีที่เกี่ยวข้องกับเอไอ, บิ๊กดาต้า, ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ เป็นต้น ซึ่งองค์กรจะต้องมีการปรับตัว อาจมีการจ้างพนักงานใหม่หรือการปรับคนให้เข้ากับงานใหม่ๆ มีการอัพสกิลรีสกิลพนักงานเพิ่มเติม
“จะเห็นว่าที่ผ่านมาในปี 2561 เทคโนโลยีอย่างบิ๊กดาต้า (Big Data) มีการใช้กันอย่างอย่างแพร่หลาย แต่ในปี 2568 นั้นคนจะมุ่งไปใช้เทคโนโลยีระบบคลาวด์คอมพิวติ้งเพิ่มขึ้นถึง 17% รองลงมาคือ การวิเคราะห์ข้อมูลจากบิ๊กดาต้า, อุปกรณ์ไอโอที, การเข้ารหัสและไซเบอร์ซิเคียวริตี้ รวมไปถึงเรื่องของเอไอ แมชชีน เลิร์นนิ่ง, หุ่นยนต์และระบบออโตเมชัน ซึ่งเป็นแนวโน้มของเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้น ขณะที่เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมในปี 2561 กลับมีการใช้งานลดลงในปี 2568 อย่างควอนตั้มคอมพิวติ้ง”
ทั้งนี้องค์กรเองจะต้องมีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ 4 ด้าน คือ 1. กลยุทธ์ด้านการวางแผนสถาปัตยกรรมไอที ซึ่งในอนาคตจะต้องเป็นสถาปัตยกรรมไอทีแบบกระจายเน้นการใช้คลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) หรือคลาวด์แบบกระจาย (Distributed Cloud) การออกแบบเรื่องของไมโครเซอร์วิสและ DevSecOp ระบบความปลอดภัยทางไอทีแบบกระจาย 2. กลยุทธ์ด้าน Big Data การเก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าจากโมบายแอพพลิเคชัน, ไอโอที, CRM และโซเชียลมีเดีย ซึ่งธุรกิจจะมีดาต้าเป็นสินทรัพย์ในรูปแบบใหม่ เน้นการประมวลผลข้อมูลเพื่อให้เข้าใจความต้องการของลูกค้า 3. กลยุทธ์ด้านเอไอ ธุรกิจจะต้องมีการวางแผนกลยุทธ์ด้านเอไอ มีการฝังระบบเอไอ ในสินค้าและบริการเน้นการทำงานต่างๆที่เป็นออโตเมชันเนื่องจากเอไอเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบไอทีตั้งแต่เริ่มต้น 4. กลยุทธ์ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้บริการลูกค้า
ขณะที่ทักษะสำคัญที่พนักงานไทยควรมีนั้น ได้แก่ ทักษะเชิงการคิดวิเคราะห์ และนวัตกรรม, การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking), ภาวะการเป็นผู้นำและอิทธิพลทางสังคม, การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน, ความคิดสร้างสรรค์, การใช้เทคโนโลยีการออก แบบ, การแก้ปัญหาที่มีเหตุผล, ความคล่องตัวและความยืดหยุ่นซึ่งเป็นทักษะที่คนไทยจะต้องพัฒนาโดยทักษะบางอย่างอาจใช้เวลาแค่ 1-2 เดือน เช่น เรื่องของคนและวัฒนธรรม, การเขียน, การขาย และทักษะด้านการตลาด ขณะที่ทักษะด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ดาต้า และเอไอต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือนในการพัฒนา รวมถึงคลาวด์ คอมพิวติ้ง และทักษะด้านวิศวกรรมที่อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนากว่า 4-5 เดือน
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของโควิด- 19 นั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคมในด้านต่างๆ มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างมาก การทำงานจากที่บ้าน (Work From Home), การเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วของอี-คอมเมิร์ซและบริการดิจิทัลต่างๆ อย่าง ฟู้ด ดีลิเวอรี, ทีวี สตรีมมิ่ง, การใช้โมบายเพย์เมนต์ โมบายแบงกิ้ง รวมไปถึงโครงการภาครัฐที่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล อย่างโครงการเราเที่ยวด้วยกัน, โครงการคนละครึ่ง
“การเข้ามาของโควิด-19 นั้นเป็นเหมือนกับ Double Disruption การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนหลังจากนี้ก็จะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป การทำงานก็จะยังคงต้องผสมผสานกันระหว่างการทำงานที่ออฟฟิศและการทำงานที่บ้าน (Work From Home) ซึ่งจะเป็น New Normal ของสังคมไทย”
: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,636 หน้า 16 วันที่ 17 - 19 ธันวาคม 2563