ภายหลังจากกลุ่ม GULF ประกาศขยายธุรกิจเข้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัล โดยส่งบริษัทย่อยคือ บจก.กัลฟ์ อินโนวา (Gulf Innova) ร่วมทุนกับ Binance Capital Management Co., Ltd. (Binance Capital Management) สัดส่วน 51:49 เพื่อดำเนินธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย
โดยคาดว่าบริษัทใหม่จะเริ่มจัดตั้งขึ้นในไตรมาส 2 ปีนี้ ความร่วมมือระหว่างยักษ์ใหญ่พลังงานของไทยที่มีเป้าหมายมุ่งไปสู่เทคคอมพานีกับกระดานซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับหนึ่งของโลกครั้งนี้สร้างผลกระทบโดยตรงกับผู้ให้บริการศูนย์ ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย
นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ซิปเม็กซ์ ประเทศไทย จำกัด หรือ Zipmex แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การประกาศจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อดำเนินธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ระหว่าง บจก.กัลฟ์ อินโนวา (Gulf Innova) ของกัลฟ์ GULF กับ Binance Capital Management Co., Ltd. (Binance Capital Management) นั้นไม่กระทบกับบริษัทเพราะยังอยู่ขั้นตอนของจัดตั้งบริษัทร่วมทุน และจะต้องขอใบอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ซึ่งต้องใช้เวลานาน เช่นเดียวกับการหาคนและจ้างคนที่มีความรู้เข้ามา ซึ่งก็ต้องใช้เวลา
“แม้ว่า Binance จะเป็นผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่กัลฟ์ เป็นยักษ์ใหญ่พลังงานที่มีเงินลงทุนสูง แต่อย่าลืมว่าเขาเข้ามาอยู่ภายใต้กฎกติกาเดียวกับเรา สิ่งที่เขาทำได้เราก็ทำได้ ส่วนเรื่องเงินทุน เราก็มี เขารุกมาเราก็รุกกลับ”
การมีคู่แข่งเป็นเรื่องดี แสดงว่าตลาดไทยน่าสนใจ ทำให้มีผู้เล่นรายใหม่สนใจเข้ามา รัฐบาลจะได้เข้ามาให้ความสำคัญ หรือส่งเสริมมากขึ้น เป็นเวลาที่น่าตื่นเต้น และการมีคู่แข่งขันรายใหม่ ทำให้ผู้ให้บริการรายเดิมต้องปรับตัว เพื่อรองรับการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ เป็นเรื่องของการแข่งขันโดยมองว่าตลาดไทยยังขยายได้อีกมาก ประเทศที่ซิปเม็กซ์ ให้บริการอยู่มีประชากร 400 ล้านคน แต่ในไทยมีผู้ใช้บริการ 2 ล้านคน ซึ่งตลาดยังมีโอกาสขยายได้อีกมาก
นายเอกลาภ กล่าวต่อไปอีกว่าไตรมาส 2 ได้เตรียมแผนขยายตลาดขยายฐานผู้ใช้บริการ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่สู่ตลาด แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ซึ่งเป้าหมายซิปเม็กซ์ปีนี้ต้องการ ขยายฐานผู้ใช้บริการเป็น 3 ล้านคน จากปัจจุบันมีฐานผู้ใช้บริการอยู่ 2 ล้านคน
ด้านนายพีรเดช ตันเรืองพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด (Upbit Thailand) และประธานสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย กล่าวว่า ในฐานะสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย คงไม่มีความเห็นในเรื่องดังกล่าว และไม่มีนโยบายกีดกันการเข้ามาของผู้ให้บริการรายใหม่ แต่ในความเห็นส่วนตัว มองว่าความร่วมมือของ กัลฟ์ (GULF) และ Binance เพื่อให้บริการศูนย์แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งนี้ จะทำให้การแข่งขันเข้มข้นขึ้นไปอีก
“ท่ามกลางตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยที่ไม่ได้ใหญ่มาก การมีผู้เล่นรายหลาย ไม่ใช่ว่าผู้ให้บริการทุกรายจะอยู่รอดได้ ท้ายสุดจะมีผู้เล่นที่อยู่รอด รายที่อยู่ไม่ได้ก็จะปิดให้บริการขายกิจการ หรือเกิดการรวมกิจการ”
นายพีรเดช กล่าวว่า ในส่วนของอัพบิต ในฐานะศูนย์บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้การกำกับดูแลของ กลต.นั้น มองว่าการแข่งขันเป็นเรื่องดี การมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาอยู่ภายใต้กฎกติกาเดียวกันไม่มีใครได้เปรียบ เสียเปรียบ เชื่อว่าผู้เล่นรายเดิมที่มีอยู่จะเร่งปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการให้ดีขึ้นท้ายสุดผู้ได้รับประโยชน์คือ ผู้บริโภค หรือนักลงทุน