เผยเทรนด์สตาร์ทอัพ“AI-Green-ฟินเทค” 3 กลุ่มเทคสร้างการเติบโต

24 มี.ค. 2568 | 05:53 น.
อัปเดตล่าสุด :24 มี.ค. 2568 | 06:08 น.

เปิดเทรนด์สตาร์ทอัพไทยปี 68 ระบุชัด “AI- Green-ฟินเทค” 3 กลุ่มเทคมีโอกาสเติบโต NIA เดินหน้าหนุนนสตาร์ทอัพ ขับเคลื่อนไทยสู่ชาตินวัตกรรม

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA เปิดเผยว่าเทรนด์การเติบโตของสตาร์ทอัพในปี 2568 นั้นประเมินว่าสตาร์ทอัพ 3 กลุ่มเทคโนโลยีที่มีโอกาสในการเติบโตสูงทั้งในไทยและต่างประเทศ ประกอบด้วย 1. เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังปฏิวัติวงการธุรกิจอย่าง โดยเฉพาะ ‘Generative AI’ เนื่องจากมีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรม ต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้อีกหลากหลาย

เผยเทรนด์สตาร์ทอัพ“AI-Green-ฟินเทค” 3 กลุ่มเทคสร้างการเติบโต

นอกจากนี้ ยังมี Agentic AI ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจแก้ไขปัญหา และจัดการงานที่ซับซ้อนเองได้ ทั้งนี้ กลุ่มผู้บริหารองค์กรและนักลงทุนมากกว่า 70% ให้ความมั่นใจว่า ระบบ AI Agents จะเป็นเทคโนโลยีสำคัญในองค์กรทั้งเชิงการคิด การผลิต การแก้ปัญหา งานบริการ เร็วต่อทุกความต้องการของตลาด และช่วยลดการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีนัยสำคัญ

เผยเทรนด์สตาร์ทอัพ“AI-Green-ฟินเทค” 3 กลุ่มเทคสร้างการเติบโต

ประกอบกับการที่ประเทศไทยสามารถคว้าโอกาสในการลงทุน ‘ธุรกิจ Data Center’ มาได้ เนื่องจากความต้องการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับใช้ในการประมวลผลข้อมูลมหาศาลเพื่อพัฒนา AI ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง AWS, Microsoft และ Google รวมถึง TikTok ปักหมุดลงทุนสร้างศูนย์ Data Center ในไทย ทำให้ขนาด Data Center ของไทยเติบโตกว่า 54% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคาดการณ์ไว้ว่าในปี 2567 - 2027 ประเทศไทยจะดึงดูดการลงทุนในส่วนนี้ได้ราว 7.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะต้องมีการเร่งพัฒนาบุคลากร และระบบนิเวศเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตนี้

2. เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (GreenTech) เทคโนโลยีสะอาด (CleanTech) และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech) ในขณะเดียวกันเรื่องของสังคม สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนก็ยังคงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญไม่ต่างกัน ทำให้สตาร์ทอัพในด้านเหล่านี้เป็นที่น่าจับตา ตลาดโลกคาดการณ์ธุรกิจนี้ไว้ว่าจะเติบโตเฉลี่ยถึง 25% ตลอด 10 ปีข้างหน้า ดังนั้นธุรกิจที่มาช่วยแก้ไขปัญหา นำเสนอทางออกในด้านสิ่งแวดล้อมอย่างพลังงานสะอาด การจัดการขยะ หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่างๆ ก็จะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคและนักลงทุน

โดยสิ่งที่สตาร์ทอัพต้องเตรียมรับมือก็คือ นักลงทุนจะมีการเรียกขอข้อมูล ‘Non-Financial Data’ เพื่อประกอบการพิจารณาว่าธุรกิจมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไร มีการจัดการ Supplier อย่างไร และมีการสร้างขยะเกินจำเป็นหรือไม่ ดังนั้นสตาร์ทอัพจึงต้องศึกษาเรื่อง การดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG อย่างจริงจัง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ความรับผิดชอบต่อสังคมสังคม (Social) และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล (Governance) ไม่ว่าจะเป็นการคำนวณ Carbon Footprint การเตรียมความพร้อมในการรับมือกับมาตรการ Non-Tariff Barriers (NTBs) หรือการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี เช่น ภาษีคาร์บอนและมาตรการต่อต้านการทำลายสิ่งแวดล้อม การใช้ฉลากอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จะนำมาซึ่งความได้เปรียบทางการค้าขององค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ที่เป็นจุดแข็งทั้งในประเทศและนานาชาติ ที่ต่างเห็นว่าภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องเร่งด่วน และสามารถตรวจวัดเป็นตัวเลขได้

ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นทางเลือกในการขยายตลาดโดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ Sustainability ตามเป้าหมายการเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2065 ที่ประเทศไทยได้แสดงเจตนารมณ์เข้าร่วมด้วย

3. เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธุรกิจ FinTech ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นผู้นำในการดึงดูดการลงทุน และมีอัตราการระดมทุนในรอบ Seed สูงถึง 26% ซึ่งสูงที่สุดในปี 2567 ตามมาด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ร้อยละ 20 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความน่าสนใจของเทคโนโลยีดังกล่าว ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่สำคัญในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คือ สตาร์ทอัพต้องมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ต้องสร้างระบบที่ปรับเปลี่ยนได้รวดเร็ว เสมือนการสร้างฐานรากที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ทำให้สตาร์ทอัพสามารถเติบโตและขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2568 NIA ยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ทอัพให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดผ่านกลไกและเครือข่ายที่มีอยู่ ภายใต้บทบาทผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม หรือ Focal Conductor โดยเฉพาะในกลุ่ม Impact Tech เพื่อสร้าง “Impactful Innovation” นวัตกรรมที่สามารถสร้างผลกระทบที่ชัดเจนและยั่งยืนต่อเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ “ชาตินวัตกรรม”

เผยเทรนด์สตาร์ทอัพ“AI-Green-ฟินเทค” 3 กลุ่มเทคสร้างการเติบโต

สำหรับผลสำรวจภาพรวมจำนวนสตาร์ทอัพไทย ในปี 2567 มีจำนวนสตาร์ทอัพ 2,100 ราย แบ่งเป็นสตาร์ทอัพระยะ Pre-seed 700 ราย และระยะ Go-to market หรือ Growth 1,400 ราย โดยเป็นสตาร์ทอัพที่ยังดำเนินกิจการอยู่ราว 800 ราย และส่วนมากอยู่ในกลุ่ม FinTech และ Business Solution

ส่วนอัตราการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพในไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2564-2567 โดยมีการเติบโตสะสมเพิ่มถึง 3.3% ซึ่งสตาร์ทอัพระดับ Seed มีอัตราการเติบโตถึง 4% เมื่อเทียบปี 2567 กับปี 2566 เนื่องจากมีอัตราการระดมทุนในรอบ Seed มากที่สุด

ด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพในภูมิภาคอาเซียน ปี 2567 ความสามารถในการระดับทุนของประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 4% โดยกลุ่มธุรกิจในประเทศไทยที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ดูได้จากบริษัทระดับยูนิคอร์นที่มีอยู่ ก็คือ ‘กลุ่ม FinTech และ Logistics Tech’ นอกจากนั้นยังมีกล่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่น่าจับตามองและยังเติบโตได้อีก เช่น กลุ่ม BioTech, AgriTech, FoodTech, TravelTech และ EdTech โดยในกลุ่ม HealthTech มีการเติบโตสูงสุด