ในวงการเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สตาร์ทอัพอย่าง DeepSeek ก่อตั้งโดย เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) กลายเป็นกระแสร้อนแรงในชั่วข้ามคืน ซึ่ง AI สัญชาติจีนน้องใหม่เจ้านี้ไม่เพียงแค่สร้างผลกระทบในวงการปัญญาประดิษฐ์ แต่ยังส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างคาดไม่ถึง
แต่เส้นทางของเหลียง เหวินเฟิงไม่ได้เริ่มต้นจากวงการเทคโนโลยีโดยตรง เขาเติบโตในครอบครัวครูในเมืองเล็กๆ ของมณฑลกวางตุ้ง ชีวิตวัยเด็กของเหวินเฟิงเต็มไปด้วยความขยันและการเรียนรู้ที่จริงจัง จนกระทั่งได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง สถาบันระดับแนวหน้าของจีน และจบการศึกษาด้านการเงิน
ในปี 2558 เหวินเฟิงร่วมก่อตั้งกองทุน High-Flyer กับเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย กองทุนนี้เป็นที่รู้จักจากการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในกลยุทธ์การลงทุนเพื่อคาดการณ์แนวโน้มตลาด โดยในเวลาเพียงไม่กี่ปี High-Flyer สามารถบริหารสินทรัพย์มูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ความสำเร็จนี้ทำให้เหวินเฟิงได้รับการยอมรับในฐานะนักการเงินที่มีความคิดก้าวหน้า
เหลียง เหวินเฟิงไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ในปี 2564 เขาเริ่มต้นโครงการส่วนตัวเกี่ยวกับ AI โดยการซื้อชิป Nvidia หลายพันตัวเพื่อสร้างระบบคอมพิวเตอร์สำหรับฝึกโมเดล AI แม้ในตอนนั้นเพื่อนร่วมงานมองว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นแค่งานอดิเรกที่ดู "แปลก" เหวินเฟิงกลับมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ และในที่สุดโปรเจกต์นี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ DeepSeek
DeepSeek ก่อตั้งขึ้นในปี 2566 โดยมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence - AGI) ซึ่งเป็น AI ที่สามารถคิดวิเคราะห์และทำงานได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ ความแตกต่างของ DeepSeek คือการใช้ทรัพยากรที่จำกัดแต่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้มหาศาล เหวินเฟิงและทีมงานของเขาใช้ชิป Nvidia H800 เพียง 2,000 ตัว สร้างโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยงบประมาณเพียง 6 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม
การเปิดตัวโมเดล R1 ของ DeepSeek ในเดือนมกราคม 2568 ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อวงการ AI และตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้น Nvidia ลดลงถึง 17% และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 3% ในขณะที่หุ้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายแห่ง เช่น Constellation Energy ที่ได้รับประโยชน์จากการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI ก็ลดลงเช่นกัน
เหลียง เหวินเฟิง ให้สัมภาษณ์ในปี 2567 ว่าวิสัยทัศน์ของเขาไม่ใช่การแสวงหากำไรในระยะสั้น แต่ต้องการผลักดันนวัตกรรมและสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งสำหรับเทคโนโลยีในจีน เขาเน้นว่าจีนไม่ควรพึ่งพาการเลียนแบบนวัตกรรมจากต่างประเทศอีกต่อไป และควรพัฒนาสิ่งใหม่ด้วยความมั่นใจ “สิ่งที่เราขาดไม่ใช่ทุน แต่คือความมั่นใจและความสามารถในการจัดการคนเก่ง” เหลียง เหวินเฟิงกล่าว
หนึ่งในกลยุทธ์ที่แตกต่างของ DeepSeek คือการพัฒนาแบบโอเพนซอร์ส แม้หลายคนอาจมองว่าการเปิดเผยเทคโนโลยีอาจทำให้คู่แข่งไล่ตามได้ง่ายขึ้น แต่เหลียง เหวินเฟิงเชื่อว่าการเปิดกว้างนี้ช่วยสร้างความร่วมมือในวงกว้างและดึงดูดผู้มีความสามารถ “การเปิดซอร์สไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่เป็นวัฒนธรรม” เขากล่าว
การบริหารงานของเหวินเฟิงยังมีเอกลักษณ์เฉพาะ โดยเน้นการให้พนักงานมีอิสระในการคิดและทดลอง ไม่มีการกำหนดลำดับชั้นที่ตายตัว ทุกคนสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็น เช่น คลัสเตอร์ฝึกอบรมโมเดล AI หรือแม้แต่ห้องประชุม เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนไอเดียระหว่างทีมงาน
DeepSeek เป็นตัวอย่างของการก้าวข้ามขีดจำกัดในวงการ AI และแสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นและการมุ่งมั่นพัฒนาอย่างสร้างสรรค์สามารถเปลี่ยน "งานอดิเรก" ให้กลายเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกได้