นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "หลังหัก?" วันที่ 24 พ.ค. 2566 วิเคราะห์การชิงตำแหน่งประธานสภาว่า
"ตำแหน่งประธานสภาฯ มีความหมาย เพราะเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งนายกฯ เป็นคนกำหนดระเบียบวาระของกฎหมายในการประชุมสภา จึงเป็นตำแหน่งสำคัญในการคุมเกมในสภา โดยปกติแล้วพรรคที่ได้ลำดับที่หนึ่งจะได้ทั้งนายกฯ และประธานสภาฯ แต่ยังมีการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษในบางครั้ง"
พรรคเพื่อไทยแสดงออกชัดเจนต้องการครอบครองตำแหน่งที่สำคัญนี้ ในขณะที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ออกมาขวางและให้พรรคก้าวไกลยึดตำแหน่งประธานสภาฯ ไว้ให้มั่นคง อย่ายอมถอยให้พรรคเพื่อไทยอีก
นายจตุพรกล่าวว่า หากพรรคก้าวไกลยกตำแหน่งประธานสภาฯ ให้พรรคเพื่อไทย แม้เป็นพรรคมีเสียงอันดับหนึ่ง แต่อาจตกเป็นเบี้ยล่างพรรคเพื่อไทยได้ เท่ากับสิ้นสภาพต่อรองทางการเมือง ไม่เหลือความสำคัญในการเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลเลย
ในอนาคตเสียงตั้งรัฐบาล 313 เสียงเต็มด้วยความขัดแย้งและมากด้วยปัญหาเช่นกัน โดยเริ่มเห็นร่องรอยจากปัญหาเซ็นเอ็มโอยู และบีบขวางวาระการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง ซึ่งสะท้อนถึงพฤติการมุ่งทำลายศรัทธาพรรคก้าวไกลในประเด็นที่ชูขึ้นหาเสียงเลือกตั้ง
หาก 313 เสียงไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้นาน ผสมด้วยการเคลื่อนไหวของบางพรรคแอบไปเจรจากับอีกฝ่ายข้างน้อย พรรคก้าวไกลกับเพื่อไทยอาจสะบัดมือจากกันจะทำได้ง่ายที่สุด ซึ่งเอ็มโอยูไม่มีความหมายอะไรในวันนั้น
"หัวหน้าพรรคเพื่อไทยน่าเห็นใจ เพราะที่สุดแล้วการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และคนมีหลักคิดอย่างนายจาตุรนต์ ฉายแสง เมื่อถึงเวลาก็ไม่ได้ชี้ขาด เนื่องจากการตัดสินใจทางการเมืองนั้นมีอำนาจกับผลประโยชน์เป็นตัวตั้ง อุดมการณ์และแนวทางเป็นเรื่องสุดท้าย แต่เมื่อหาเสียงอุดมการณ์จะเป็นสิ่งสูงสุดเสมอ" นายจตุพร ระบุ
นายจตุพรกล่อมถึงผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลด้วยว่า ควรอยู่บนโลกความเป็นจริงให้ได้ การขัดแย้งระหว่างส้มกับแดงในโซเชียลมีเดียที่หนักหน่วงขึ้นนั้น หากมีเหตุลงดาบเชือดนายพิธา ในการถือหุ้นสื่อมวลชน และผสมผสานกับการชิงตำแหน่งประธานสภาฯ ด้วยแล้ว พรรคก้าวไกลจะสูญสิ้นทุกอย่าง
กรณีกระแสข่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะวางมือการเมือง และยุบ พปชร. มารวมพรรคเพื่อไทยเพื่อชิงเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล แม้ พล.อ.ประวิตร ออกมาปฏิเสธ แต่ปฏิบัติการข่าวปล่อยได้ทำงานจนสำเร็จแล้ว
“ในกระดานการเมืองช่วงนี้ พล.อ.ประวิตร จึงไม่ธรรมดา เห็นนิ่งเงียบ เดินช้าเนิบนาบ แต่มากความคิดกลเกม ประกอบกับวัยร่วงโรย จึงมีเวลาไม่มาก ดังนั้น การลงมือแต่ละเกมการเมืองจึงเน้นประสิทธิภาพ โดยดูจาก 187 เสียงสามารถปิดล้อมการขยับตัวตั้งรัฐบาลของ 313 เสียงได้อย่างสิ้นเชิง” นายจตุพรกล่าว
ในตอนท้าย นายจตุพรระบุว่า แนวโน้มในขณะนี้ มีการเชื่อกันว่าอีกไม่นาน 313 เสียงจะแตกแยกกันเอง โดยประเมินจากอาการอันเริงร่า และสบายใจของฝ่ายที่เป็นเสียงข้างน้อย 187 เสียงที่เหมือนรอเป้าหมายอะไรบางอย่างอยู่แบบนิ่งเงียบ
เมื่อความแตกต่างในเอ็มโอยู ได้สะสมการถอยร่นของพรรคก้าวไกลจนถึงวันหนึ่งก็ไม่รู้จะถอยไปถึงไหนแล้ว และอาจมาขาดสะบั้นกับการชิงตำแหน่งประธานสภาฯ ซึ่งหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันได้ยากยิ่ง
ความกดดันที่เต็มกันไปหมด โดยเฉพาะสถานการณ์ข้างหน้าพรรคฝ่ายประชาธิปไตยจะกระทืบกันเอง ยิ่งท่วงทำนองของนายศิธา ทิวารี จากพรรคไทยสร้างไทย กับนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีอาการต่อกัน รวมถึงพรรคเพื่อไทย กับก้าวไกลในการชิงตำแหน่งประธานสภาฯ ซึ่งจะทำให้มองหน้ากันไม่ติดอยู่แล้ว ความกดดันเช่นนี้อีกฝ่ายเฝ้ารอเวลาเข้าแทรกอยู่