นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า เปิดเผยผ่านรายการ “เนชั่นสุดสัปดาห์ กับ 3 บก.” ประกอบด้วย นายสมชาย มีเสน นายวีระศักดิ์ พงษ์อักษร และ นายบากบั่น บุญเลิศ ว่า ในการเลือกตั้ง 2566 พรรคชาติพัฒนากล้า ตั้งความหวังมี ส.ส. เข้าสภาอย่างน้อย 25 ที่นั่ง เพื่อมีโอกาสในการเสนอชื่อ “แคนดิเคตนายกฯ” คาดว่าจะประกาศชื่ออย่างเป็นทางการหลังยุบสภา
นายสุวัจน์ ยอมรับว่า การจะทำให้พรรคได้จำนวนส.ส.อย่างน้อย 25 ที่นั่งเป็นเรื่องยาก เพราะมีการพรรคเมืองลงสนามเลือกตั้งจำนวนมาก แต่การเลือกตั้ง 2566 ก็ค่อนข้างเคลียร์ชัดกว่าปี 2562 เพราะขณะนั้นมีเงื่อนไขความขัดแย้ง และ ม.44
แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนผ่านจากประชาธิปไตยไปสู่ประชาธิปไตย 100% ประชาชนมีสิทธิแสดงความคิดความเห็นอย่างเต็มที่ พรรคการเมือง ขอเพียงให้คณะกรรมการแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นธรรม เพราะการแบ่งเขตมีนัยสำคัญต่อผลการเลือกตั้ง และเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง
นายสุวัจน์ ระบุด้วยว่า หลังการเลือกตั้ง 2566 พรรคชาติพัฒนากล้า ถือเป็นพรรคเล็ก เป็นเพียงดอกไม้ประดับ รอเจ้าของแจกันมาเลือกตั้ง แต่ก็จะยึดประเพณีทางการเมือง และจะอยู่กับเสียงข้างมาก ไม่เป็นเสียงข้างน้อย เพราะการเป็นเสียงข้างมากจะสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ตามที่สัญญาไว้ประชาชนได้
“การเลือกตั้งคราวนี้ ต่างจากเมื่อ 4 ปีก่อน ขณะนั้นอยู่บนพื้นฐานความขัดแย้ง เลือกตั้งปี 2566 ปัจจัยของโหวตเตอร์ คือ เศรษฐกิจ ไม่ได้หมายความขัดแย้งหมดไป แต่ปัญหาปากท้องต้องมาก่อน”
ส่วนเสียงสนับสนุนของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในการโหวตเลือกตั้งนายกฯ ส่วนตัวไม่กังวลว่าจะสนับสนุนฝ่ายใดในการเมือง 2 ขั้ว สำหรับการสนับสนุนชื่อนายกฯ เพื่อจัดตั้งเป็นรัฐบาล เพราะสุดท้ายการโหวตต้องยึดถือเอาเสียงข้างมาก ทุกคนต้องมีเหตุมีผล ต้องยอมรับเสียงข้างมากจากประชาชน
“การไปโหวตเสียงข้างน้อยเป็นนายกฯ มีผลกระทบต่อสเถียรภาพรัฐบาล การไปฟอร์มรัฐบาลแล้วได้เสียงข้างน้อย มีผลกระทบต่อการลงทุน หลังเลือกตั้งหากได้รัฐบาลเสียงข้างน้อย เท่ากับจบเลย เราไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์หลังจากที่อดทนรอเลือกตั้งมานาน 4 ปี” ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า ระบุ