จากกรณี นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคร่วมไทยสร้างชาติ ลงพื้นที่หาเสียง และปราศรัย ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ในภายหลัง (27 ก.พ.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัย เหตุพบว่าในช่วงท้ายของการปราศรัยนั้น นายไตรรงค์ อาจกระทำการอันฝ่าฝืน ข้อ 17 ของระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียง และลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. 2561 หรือไม่ ในการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาปราศรัยหาเสียง
ล่าสุด นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ลงนามในหนังสือ ส่งถึงหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยระบุถึงข้อเท็จจริง พบว่า นายไตรรงค์สุวรรณคีรี ได้ปราศรัย ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา โดยช่วงหนึ่งของการปราศรัยได้นำสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง จึงขอให้หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติควบคุมและกำกับดูแลมิให้นายไตรรงค์ กระทำการอันอาจเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับรวมตลอดทั้งระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของ กกต.
โดย ระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียง และลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. 2561 กำหนดว่า ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง
นอกจากนี้ นายแสวง บุญมี ยังได้ออกหนังสือแจ้งต่อหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรค โดยระบุให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง และกรรมการบริหารพรรคการเมือง ต้องควบคุมและกำกับดูแลสมาชิกพรรคการเมือง มิให้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับ รวมทั้งระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของ กกต.
โดยเฉพาะระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในส่วนของการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง
หากนายทะเบียนพรรคการเมืองพบการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืน ให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง มีมติหรือสั่งการให้สมาชิกพรรคการเมือง ยุติการกระทำนั้นโดยพลัน และกำหนดมาตรการหรือวิธีการที่จำเป็นเพื่อมิให้สมาชิกพรรคการเมืองผู้ใดกระทำการอันอาจมีลักษณะดังกล่าวอีก แล้วแจ้งให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบภายใน 7 วันนับแต่วันที่มีมติ
ทั้งนี้ หากคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองใดไม่ปฏิบัติตาม นายทะเบียนพรรคการเมืองจะเสนอให้ กกต.เพื่อพิจารณามีคำสั่งให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ และห้ามมิให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองซึ่งพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุดังกล่าว ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง จนกว่าจะพ้นเวลา 20 ปี นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง