นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แสดงความอึดอัดต่อทีของรัฐบาลในการให้สัมภาษณ์ของ 2 รัฐมนตรี ที่รับผิดชอบในการแก้ปัญหา 2 ไฟ ได้แก่ไฟป่าที่ก่อให้เกิดปัญหา PM 2.5 และค่าไฟฟ้าที่รัฐบาลจะประกาศขึ้นราคาในภาคครัวเรือนในเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม
โดยนายกรณ์ ได้กล่าวถึงปัญหาการเผาป่าในไร่ข้าวโพดของประเทศไทย และไฟป่าจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลต่อสภาพอากาศของพี่น้องภาคเหนือ โดยเฉพาะคุณภาพอากาศที่เชียงรายถือว่าสาหัสมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ค่า PM 2.5 สูงถึงเกือบ 500 หน่วย ซึ่งเป็นระดับอากาศที่เป็นพิษ หายใจไม่ได้เลย
ตามรายงานทราบว่ามีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาพยายาลอย่างน้อย 3,000 คน ไม่นับรวมคนป่วยที่บ้านอีกเป็นจำนวนมาก รัฐบาลประกาศให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 แต่กลับไม่มีมาตรการใด ๆ ที่จับต้องได้เพื่อให้ประชาชนมีความหวังว่าจะมีสถานการณ์จะดีขึ้น ตรงกันข้ามสถานการณ์กลับเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ตนรู้สึกอึดอัดและโกรธแทนพี่น้องคนไทยทุกคนที่เดือดร้อน
“ผมเห็นท่าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์สื่อที่ถามว่า ถึงเวลาประกาศเป็นภัยพิบัติฉุกเฉินแล้วหรือยัง ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานราชการมีมาตรการที่ชัดเจนเพื่อพี่น้องประชาชน แต่ ท่านตอบมาพอสรุปได้ว่า ยังประกาศไม่ได้ เพราะไม่รู้ประกาศไปแล้วจะนำไปสู่การมาตรการอะไร เพราะไม่มีมาตรการใด ๆ รองรับ และไม่รู้ด้วยว่าจะประกาศในพื้นที่ไหนบ้าง เนื่องจากไม่มีการกำหนดเกณฑ์ว่าคุณภาพอากาศต้องเลวร้ายระดับไหน ถึงจะประกาศเป็นภัยพิบัติ หรือ ภัยฉุกเฉินได้
ผมเชื่อว่า ใครฟังก็คงตกใจและหดหู่ใจว่า ปัญหาระดับวาระแห่งชาติที่ประกาศมาแล้ว 4 ปี แทนที่จะกระบวนการช่วยเหลือเฉพาะหน้า เช่นอุปกรณ์เครื่องรองรับบรรเทาปัญหา ทั้งหน้ากาก ยา เวชภัณฑ์ เครื่องฟอกอากาศ หรือแม้แต่การอพยพประชาชนที่อาจมีปัญหาเรื่องภูมิแพ้ ทางเดินหายใจ ออกจากพื้นที่เสี่ยง ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน เพื่อจะได้มีการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ”
นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า มีชุดความคิดที่เป็นข้อเสนอมาตรการระยะยาวในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหาควันภาคเหนือที่ก่อให้เกิด PM 2.5 นั้น เกิดจากการเผาในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมาร์ และ สปป.ลาว ที่ ส่วนหนึ่งเราเข้าใจว่าเกษตรกรต้องทำกาหากินด้วยการปลูกไร่ข้าวโพดสัตว์เลี้ยง เมื่อถึงเวลาเตรียมการเพาะปลูกในแต่ฤดู ก็ต้องเผาไร่สร้างมลพิษให้กับพี่น้องประชาชน
เราจึงต้องแก้ที่ต้นตอด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ คือ ชักจูงให้เกษตรกรปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนที่ไม่ต้องเผา คือ การปลูกป่าเศรษฐกิจจากพืช 58 ชนิด ที่ได้ปลดแอกให้สามารถปลูกได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีการจ่ายเงินเดือนให้กับเกษตรในจำนวนที่มากกว่าการปลูกไร่ข้าวโพด และในระยะยาวเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ส่วนหนี่งจะเป็นของเกษตรกร
และอีกส่วนหนึ่งสามารถผลิตเป็นคาร์บอนเครดิตได้ด้วย สิ่งเหล่านี้เราสามารถระดมทุนผ่านพันธบัตรป่าไม้ ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าพร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการได้ทันทีที่มีโอกาสเข้าไปทำงาน
นายกรณ์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการด้านต่างประเทศ เราปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยต้องเร่งประสานไปทางรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ และ สปป.ลาว เพื่อหามาตรการควบคุมการเผา ซึ่งความจริงมีสัญญาในกลุ่มประเทศอาเซียนตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ว่าด้วยเรื่องของการคุ้มครองการสร้างสร้างมลพิษข้ามชายแดน โดยเฉพาะเรื่องการเผา สามารถนำข้อตกลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นมาเป็นข้อประชุมฉุกเฉินของอาเซียนได้
นอกจากนี้เราคงต้องทบทวนข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ต่อการนำเข้าข้าวโพดสัตว์เลี้ยงปลอดภาษีจากประเทศเพื่อนบ้าน ต่อไปต้องกำหนดมาตรการทางภาษี ไม่รับซื้อผลผลิตที่มาจากการเผา ส่งผลให้การนำเข้ายากยิ่งขึ้น และชะลอการเผาลง และสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรของไทย ปลูกอย่างอื่นทดแทนที่มีรายได้มากกว่า ลดพื้นที่การเผาป่าลง
“5-6 ปีที่ผ่านมา การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใน 3 ประเทศ เพิ่มขึ้นเกือบ 20 เท่า ซึ่งปริมาณเพาะปลูก เป็นไปในทิศทางเดียวกับปริมาณการเผา อย่างไรก็ตามเราคงหวังการแก้ปัญหาจากฤดูกาลไม่ได้แล้ว เพราะรัฐบาลก็เป็นรัฐบาลรักษาการ ก็ได้แต่หวังว่า รัฐบาลที่จะกำลังจะมีขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้า จะเร่งดำเนินการทันที
และพรรคชาติพัฒนากล้าก็ขอสัญญาว่า เป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้เกิดมาตรการที่กล่าวมาแล้วข้างต้นและจะทำทำทันที ถ้ามีโอกาสเข้าไปทำงาน ตราบใดที่ยังมีการเผาป่า ผมเป็นหนึ่งคนที่จะต่อสู้แทนพวกท่าน” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว
นายกรณ์ กล่าวว่า ไฟที่สอง ที่ประชาชนให้ความสนใจมาก คือปัญหาค่าไฟฟ้าที่รัฐบาลจะปรับราคาค่าไฟฟ้าภาคครัวเรือนแต่ลดให้กับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งหลังจากที่ฟัง รมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์ ทำให้เราไม่สามารถหวังอะไรได้ กับรัฐบาลชุดปัจจุบันในเรื่องนี้ ท่านไม่ได้มีเจตนาไปทบทวนที่การปรับค่าไฟครั้งนี้แต่อย่างใด เป็นอีกเรื่องที่ พรรคชาติพัฒนากล้า เราได้นำเสนอนนโยบายนี้ ว่าเราจะมารื้อโครงสร้างพลังงาน สาเหตุต้นของค่าไฟที่แพงขึ้นมีหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องของไฟสำรองที่สูงมากไปถึง 50%
ทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ต้องมีการจ่ายค่าพร้อมซื้อในอัตราที่ค่อนข้างสูง มีผลให้ 20% ของต้นทุนค่าไฟที่แพงขึ้น รวมถึงเรื่องการผลิตแก๊สที่ ปตท.สผ.ไม่สามารถผลิตแก๊สจากอ่าวไทยในปริมาณเท่ากับในอดีต เนื่องจามีประเด็นปัญหาเรื่องของการโอนกรรมสิทธิ์ หลังจากที่ได้ประมูลสิทธิมาจากบริษัทข้ามชาติคือเชฟร่อน
“ซี่งความผิดพลาดในการบริหาร ของ กฟผ. ในการทำสัญญาซื้อไฟเกินปริมาณที่ต้องการ บวกกับความผิดพลาดของ ปตท.สผ. ที่ไม่ได้เตรียมการให้ดี ทำให้การผลิตแก๊ซจากอ่าวไทยลดลงไปครึ่งนึง เป็นระยะเวลา 2 ปี และเป็นช่วงที่ต้องนำเข้าแก๊สแอลพีจีที่แพงมาก เนื่องจากเป็นช่วงสงคราม รัสเซีย-ยูเครน ทำให้ค่าไฟแพงขึ้น คำถามคือแล้วทำไมประชาชนต้องแบกรับภาระ หน่วยงานที่ผิดพลาด กระทรวงที่กำกับดูแล มีความรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร กับการปรับค่าไฟที่ไม่เป็นธรรม”
นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของพรรคชาติพัฒนากล้า มีนโยบายเรื่องการปรับโครงสร้างไฟฟ้า โดยการเปิดเสรีเรื่องการผลิตและการขายไฟฟ้า เพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเป็นผู้ผลิตไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยี และมีกองทุนโซล่าลูปท็อป แทนที่จะเป้นเพียงผู้บริโภค และมีกองทุน เพื่อให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงแหล่งทุน ในการติดโซลาร์เซลล์บนหลังคาตัวเอง โดยไม่มีภาระดอกเบี้ย
ส่วนของค่าแผงโซลาร์เซลล์ ก็จะได้เงินคืนจากเงินที่ประหยัดจากค่าไฟที่ลดลง และส่วนของไฟฟ้าที่ผลิตเกิน ก็สามารถขายกลับเข้าสู่ระบบการไฟฟ้าได้ ในราคาเดียวกับที่ท่านรับซื้อจากการไฟฟ้า ซื้อและขายกลับในราคาเดียวกัน
ถ้าเรามีโครงสร้างที่ชัดเจนอย่างนี้ สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในประเทศ จาก ณ ปัจจุบัน ที่ส่วนใหญ่พึ่งพาการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่จะสลับเปลี่ยนเป็นการพึ่งพาพลังงานทดแทนโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์อย่างรวดเร็วแน่นอน
โดยใช้กลไกตลาด ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ เป็นตัวพิสูจน์ทุก ๆ เรื่อง สามารถแก้ปัญหาที่ต้นตอ เกิดจากความตั้งใจทางเศรษฐกิจ ในการสร้างรายได้ และนี่คือจุดยืนของเรา พรรคชาติพัฒนากล้า