พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงมาเล่นการเมืองเต็มตัว พร้อมลงสมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) เบอร์ 1 รวมไปถึงมีชื่อเป็น แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในครั้งนี้ด้วย
ล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษสื่อเครือเนชั่น ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์แบบคำต่อคำทั้งหมดได้ในบรรทัดถัดจากนี้
มิติการก้าวข้ามขัดแย้งของลุงป้อม คืออะไร
ผมต้องการให้ประชาชนคนไทยเป็นหนึ่งเดียวมีความรักใคร่ ส่วนเรื่องทางการเมืองใครจะคิดอย่างไรเป็นเรื่องของตัวเองก็แล้วแต่ อยากจะให้คนทั้งประเทศนำพาประเทศเจริญรุ่งเรืองกว่านี้ ไม่จำกัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพราะเป็นคนไทยด้วยกันอยู่แล้ว เรื่องสภา คือ เรื่องสภา เรื่องประชาชน ก็เป็นเรื่องประชาชน ก็ว่ากันไป อยากให้คนทั้งประเทศรักกัน และ นำพาประเทศเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน
แนวทางนี้ตอบรับไหม
ตอบรับกันทั้งนั้นนะ การก้าวข้ามขัดแย้งเนี่ย
จุดแข็งของพรรคพลังประชารัฐ
จุดแข็ง คือ พวกที่อยู่ในพรรคมีความรู้ ความสามารถ โดยคณะกรรมการ เป็นคนคัดเลือก และ สรรหาเข้ามาทุกคนมีความรู้ ความสามารถ ในการที่จะ บริหารประเทศชาติ แต่ละคนก็มีโปรไฟล์ดีเป็นบุคคลากรที่มีคุณภาพ ทีมเศรษฐกิจทั้ง 5 คน มีที่ยืนด้วยกันทั้งนั้น เพราะต่างคนก็ต่างมีที่มา ยกตัวอย่างนโยบายประชารัฐ ก็เป็นของพรรคพลังประชารัฐที่ทำมาตั้งแต่ต้น โดย อุตตม สาวนายน เป็นคนทำ
ถ้าได้นั่งนายกรัฐมนตรี สิ่งแรกที่ทำคืออะไร
หากได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี จะทำทันที ทุกเรื่องที่ทำให้ประชาชน อยู่ดีกินดีขึ้น ได้รับการแก้ไขปัญหา ที่ประชาชนเดือดร้อนทำทุกเรื่อง
ประชุมวันละกี่รอบ
ประชุมทั้งวัน วันละหลายเรื่อง แต่ยอมรับว่าการเมืองจะหนักหน่อย เพราะมี 400 เขต เขตทับกันก็ต้องตัดสิน
ไม่มีใครยอมใคร
เขตทับกันทุกเขต ไม่มีใครยอมใคร ไปถามนักการเมืองมีใครยอมใครไหม
ทำไมจึงตัดสินใจลง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1
ผมไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลย เพราะลูกพรรคให้ผมลง ผมทำตามมติพรรค เพราะพรรคมีคณะกรรมการสรรหา มติพรรคให้ลงก็ลง ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ มติพรรคออกมาแบบนี้ก้ต้องทำตามมติ
มั่นใจไหมว่าจะได้กี่ที่นั่ง
มั่นใจหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาชน ผมว่าไม่น้อยกว่า 70 ที่นั่ง
อะไรที่ทำให้มั่นใจ
แต่ละคนที่มาสมัครมีคุณภาพ ดังนั้น ส.ส. ไม่น้อยกว่า 70 ที่นั่ง จาก ส.ส. แบบแบ่งเขต หรือ รวมแล้วอาจจะเกินร้อย โดยประเมินจากการทำโพล หลายช่องทาง มั่นใจได้ยกจังหวัด ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ กำแพงเพชร พะเยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และ สระแก้ว ส่วนกาญจนบุรี คะเนนไว้ที่ 3-5 คน
ภาพพลังประชารัฐกับภูมิใจไทย ลงตัวกันแล้วไปไหนไปกัน
ลงตัวอย่างไรละต้องไปถามอนุทิน (อนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย)
พลังประชารัฐกับรวมไทยสร้างชาติ จะจับมือกันไหม
มีเงื่อนไขเดียว ว่าใครได้ ส.ส. มากกว่าก็เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
การเลือกตั้งปี 62 กับปี 66 แตกต่างกว่ากันไหม
การเลือกตั้งปี 66 ยากกว่า ปี 62 เพราะแต่ละพรรคขนาดใหญ่ สู้กันเยอะ
เบอร์เกี่ยวไหม
เรื่องหมายเลขผู้สมัคร ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และ บัญชีรายชื่อ หากชาวบ้านต้องการรู้จริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหา พรรคไม่ได้สนใจว่า พรรคการเมืองไหนจะมีกระแสอย่างไร แต่เสียงของรัฐบาล ต้องไม่ต่ำกว่า 251 เสียง ไม่มีรัฐบาลเสียงข้างน้อย
วิตกกังวลกระแสเพื่อไทยกับก้าวไกล หรือไม่ อีสาน กับ เหนือ กระแสดี
ผมทำพรรคของผมเป็นหลัก ผมจะไปดูพรรคอื่นทำไม พรรคทุกพรรคดูพรรคตัวเองเป็นหลัก คือ ห้ามต่ำกว่า 70 เสียง คนอื่นได้เท่าไหร่ก็เรื่องของเค้า
รัฐบาลเสียงข้างน้อยไปไม่ไหว
ไปไม่ได้ เสียงต้องไม่ต่ำกว่า 251 เสียง ถึงจะได้แม้มี ส.ว. สนับสนุนรัฐบาล ออกกฎหมายไม่ได้แพ้หมด
จับมือเพื่อไทยได้ไหม
คนละประเด็น อยากให้คนไทยรักกัน สามัคคีกัน นำพาประเทศไปด้วยกัน มีความคิดช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่วนทางการเมืองเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ใครจะคิดอย่างไรว่าไป เป็นเรื่องของสภา
สามป.ในทางการเมืองไม่มีแล้ว
3 ป. (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ,พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) หลังเลือกตั้งในทางการเมืองไม่มีแล้ว
สุขภาพจะส่งผลต่อสมรภูมิการเมืองลงพื้นที่ไหวหรือไม่
ส่วนคำถามที่ว่าไหวไหมต้องถามกลับคนถามว่าไหวหรือเปล่า เพราะส่วนตัวเดินมาปีกว่าแล้ว ตรวจราชการครบทั้ง 77 จังหวัด บางจังหวัดไป 2-3 รอบก็มี ผมไม่เห็นมีอะไรมีแต่ขาเท่านั้น
ตอนไปจับเบอร์มั่นใจอะไรไหม
ได้เบอร์ 37 มาสองครั้ง ครั้งแรกจับให้เบอร์ 37 ผมไปจับก็ได้เบอร์ 37 เบอร์สามเจ็ดเป็นเลขที่ดีนะ เพราะเลข 3 บวก 7 รวมกันแล้วได้ 10 เลขสิบเป็นเลขดีทั้งหมด
ทำไมไม่อยากขึ้นดีเบต
ผมไม่ได้เป็นนักโต้วาที ผมว่าไม่ได้ประโยชน์ ไม่เก่งเรื่องนี้
ทำไมการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเลือกพลังประชารัฐทำไมต้องเลือกเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ประชาชนชอบพรรคไหนก็เลือกไป ผมอาสารับใช้ประชาชน ประชาชนเห็นว่าผมสมควรเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็เลือกผม ถ้าเห็นผมว่าไม่เหมาะสมก็ไม่ต้องเลือกผม