วันนี้ (24 เม.ย. 66) นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกระแสข่าว กกต.จะถอนสิทธิ์ผู้รับสมัครเลือกตั้ง ส.ส. จำนวน 130 คน ว่า เวลาที่กกต.พิจาณาคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 42 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.นั้นจะมี 26 หน่วยงานที่มาสนับสนุนการตรวจสอบคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามด้วย
โดยเมื่อรับสมัครเข้ามา แล้ว กกต.จะส่งแต่ละเรื่องให้แต่ละหน่วยงานที่มีหน้าที่สนับสนุน กกต. ในการตรวจสอบ
“อย่างกรณีที่เป็นข่าวนั้น เป็นเรื่องการถือหลักทรัพย์ตามมาตรา 42 (3) จึงส่งเรื่องให้กับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นผู้ตรวจสอบ และทำบัญชีส่งกลับมายัง กกต.”
โดยในการตรวจสอบนั้น จะตรวจสอบหลักทรัพย์ทุกประเภทที่ผู้สมัครคนนั้นๆ ถืออยู่ ไม่ใช่เฉพาะหลักทรัพย์ด้านสื่อสารมวลชนเท่านั้น
เมื่อกกต.ได้รับข้อมูลกลับมาก็ต้องมาพิจารณาว่า หลักทรัพย์แบบไหนที่เข้าลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ก็คือ การห้ามเป็นเจ้าของ หรือถือหุ้นในองค์กรสื่อสารมวลชนใดๆ ถ้าถือหุ้นบริษัทอื่นๆ ก็ไม่ถือว่าเข้าข่ายลักษณะต้องห้าม
ดังนั้น ใน 130 คน ที่เห็นนั้น หากไม่เข้าลักษณะต้องห้าม ก็ไม่ต้องประกาศไม่เป็นผู้รับสมัคร ของกกต.เขต ซึ่งผู้อำนวยการก็ประกาศแล้ว ตรวจสอบแล้วว่า ต้องเป็นเจ้าของ หรือ ผู้ถือหุ้นของหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชน ถึงจะเป็นผู้มีลักษณะต้องห้าม
“ใน 130 คน อาจจะมีการถือหุ้น แต่ไม่ได้เป็นหุ้นที่มีลักษณะต้องห้าม อาจจะเป็นหุ้นบริษัทอื่นๆ ดังนั้น จึงไม่ใช่ว่า 130 คนนี้ จะถูกตัดสิทธิ์หมด กกต.ต้องมาตรวจสอบเอง” เลขาธิการ กกต. ระบุ
ก่อนหน้านี้ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัคร ส.ส.นครนายก เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูก ผอ.กกต. ประจำเขตเลือกตั้งที่ 2 นครนายก ตัดสิทธิ์การลงรับสมัคร ส.ส. โดยระบุอ้างถือครองหุ้นของบริษัท เข้าข่ายตามลักษณะต้องห้ามของการเป็นผู้สมัคร ส.ส. ออกมากล่าวหาพาดพิงทำนองว่า เป็นเรื่องแปลกประหลาด ที่ตนเองถูกตัดสิทธิ์คนเดียว
เพราะเห็นหลักฐานของ กกต.ทราบว่า มีชื่อนักการเมืองทั้งหมด 130 คน มีผู้สมัคร ส.ส.ระดับบิ๊กเนม รวมถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงคนดังคือ ร.อ.ธรรมนัส แกนนำพรรค พปชร.อยู่ด้วย แล้วทำไมยังเดินหาเสียงได้อีก ทำไมไม่ถูกตัดสิทธิ์