"ฐานเศรษฐกิจ" จัดงานสัมมนา THE BIG ISSUE ปุ๋ยแพง : วาระเร่งด่วนประเทศไทย ทางรอดเกษตรกร ณ ห้องจูปิเตอร์ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยในช่วงของดีเบตในหัวข้อ "นโยบายพรรคกับการแก้ปัญหาต้นทุนการผลิต-ปุ๋ยแพง" ซึ่งมีตัวแทนจาก 6 พรรคการเมืองต่าง ๆ เข้าร่วม
ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคและกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ปุ๋ยแพงเป็นปัญหาเฉพาะหน้า มองว่าเรื่องของผลผลิตรายได้ต่ำ รายได้เกษตรกรน้อยเป็นปัญหามากกว่า
สิ่งที่ทางพรรคชาติพัฒนา ต้องการจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ เรื่องแรก คือ การเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ปุ๋ย ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันของธุรกิจปุ๋ย นั่นหมายความว่า เรื่องของสูตรปุ๋ยที่สัมพันธ์กับดิน สัมพันธ์กับพืชและสัมพันธ์กับบริบทของแปลงการผลิต สิ่งนี้ต้องทำให้เกิดขึ้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ใช้ปุ่ยน้อยลงแต่มีรายได้เพิ่มขึ้น
เวลาเดียวกันการนำเข้าปุ๋ยวันนี้ เรานำเข้าทั้งที่เป็นสูตรสำเร็จและแม่ปุ๋ย บริษัทขนาดใหญ่ผสมปุ๋ยที่ใช้กันทั้งประเทศแต่ทราบกันดีว่า แต่ละตำบลดินและพืชไม่เหมือนกัน ดังนั้น เราต้องปรับระบบของการผลิตสูตรปุ๋ยใหม่ ภาคเอกชนคงต้องทำงานละเอียดขึ้นซึ่งเชื่อว่าปรับตัวได้
สำหรับเรื่องของการผลิตปุ๋ยนั้นโรงงานทำปุ๋ยโดยเฉพาะจากโปแตชเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์แต่ในเวลาเดียวกันบนเงื่อนไขที่ว่า เราไม่ต้องการให้มีการเปิดเหมืองโปแตชใหม่อีกแล้วเพราะมีกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและปัญหาด้านดินเค็มที่มีการขยายตัวในภาคอีสาน
กรณีปุ๋ยแพงเป็นเรื่องเฉพาะหน้าโดยเฉพาะเกษตรกรที่ยากจนรายเล็กรายน้อย จำเป็นที่รัฐต้องเข้าไปชดเชยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเราจะปล่อยให้เกษตรกรตายไม่ได้
ประเด็นที่ 2 พรรคชาติไทยพัฒนา ถือว่าปุ๋ยเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการผลิตเท่านั้น เป้าหมายของพรรค คือ การเพิ่มผลิตภาพทางการเกษตรและเพิ่มขีดความสามารถผลผลิตทางการเกษตรของไทยเพื่อนำไปสู่การเพิ่มรายได้และแก้ไขความยากจนของเกษตรกร
ในขณะที่วันนี้เรามีบริบทเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ นำมาซึ่งภัยพิบัติต่าง ๆ ตามมา อาทิ น้ำท่วม น้ำแล้ง รวมถึงโรคระบาดซึ่งเป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่เกษตรกรต้องพบ รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ปีหน้าเราต้องจ่ายชดเชยมากถึงสองแสนล้านบาทต่อปีซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาผลผลิตทางการเกษตรซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่เราต้องแก้ไข ทางพรรคชาติไทยพัฒนาเห็นว่า การทำเกษตรยั่งยืน การทำเกษตรคาร์บอนต่ำ การทำเกษตรอินทรีย์ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
ประการที่ 3 การจะทำเช่นนั้นได้เราต้องปฏิรูประบบการเกษตรซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราจะไม่แก้ปุ๋ยแพงตามสถานการณ์ แต่จะปฏิรูประบบเกษตรใหม่ นับตั้งแต่เรื่องของดินโดยจะสนับสนุนให้มีการไถกลบโดยจะให้ 1,000 บาทต่อไร่เพื่อการปรับปรุงดิน, จัดทำน้ำบาดาลขนาดใหญ่ให้กับทุกตำบลเพื่อให้ทำเกษตรได้ตลอดทั้งปี รวมถึงการให้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพกับประชาชนตั้งเป้าไว้ที่ 60 ล้านไร่
ที่สำคัญ คือ วิธีการปลูกที่ทางพรรคได้ทดลองทำแล้วที่จังหวัดสุพรรณ อยุธยา อ่างทองและสิงห์บุรี เป็นต้น พบว่า ผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30 % ทางพรรคมุ่งแก้ไขปัญหาระบบเกษตร ทำน้อย ได้มากเพราะคุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ
แนวคิดการเกษตรจะต้องเปลี่ยนโดยจำเป็นต้องบริหารถึงพื้นที่ ทำปุ๋ยเป็นรายตำบล พร้อมปรับวิธีการเพาะปลูกเพื่อให้ได้คาร์บอนเครดิต และจัดตั้ง "ธนาคารเพื่อการพัฒนา" โดยเกษตรกรเข้ามาเป็นหุ้นส่วนร่วมกัน