วันนี้( 6 พ.ค. 66) ที่ลานสหกรณ์การเกษตรศรีประจันต์ มาดามเดียร์ - วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้ปราศรัยสนับสนุน นายภานรินทร์ อินสกุล ผู้สมัคร ส.ส.สุพรรณบุรี เขต 5 หมายเลข 7 โดยมี นายวัชระ เพชรทอง ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตหนองแขม-บางแค พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมขึ้นปราศรัยด้วย ท่ามกลางบรรยากาศมีประชาชนมารับฟังจำนวนมาก
นายภานรินทร์ กล่าวว่า ตนมีความตั้งใจ มีอุดมการณ์ที่จะมาอาสาทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนชาวสุพรรณบุรี ซึ่งเหตุผลที่ตนเลือกลงสมัครรับเลือกตั้งกับพรรคประชาธิปัตย์นั้น เนื่องจากได้รู้จักและร่วมทำงาน เรียนรู้งานการเมืองกับ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
อีกทั้งเนื่องจากตนเป็นเกษตรกรในสายเลือด และเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ดังนั้น หากตนได้เป็น ส.ส. สิ่งแรกจะทำคือ การทำให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
และเชื่อว่าหากเกษตรกรมีคุณภาพดีขึ้น เศรษฐกิจก็จะดีขึ้นตามมาด้วย ส่วนสิ่งใดที่คนเก่าเคยทำไว้ดีอยู่แล้วก็จะสานต่อ แต่สิ่งใดที่ยังไม่ดีที่สุดก็จะพัฒนาต่อ
ดังนั้น ในวันที่ 14 พ.ค. ที่จะมีการเลือกตั้ง อยากขอโอกาสจากทุกคนให้ตนได้เป็น ส.ส.เข้าไปทำงานรับใช้พี่น้อง และขอให้ทุกคนได้ช่วยลบภาพจำในอดีต เพราะเราเลือก ส.ส.เข้าไปเพื่อเป็นปากเป็นเสียงรับฟังปัญหาเราไปแก้ไข ไม่ใช่เลือกเพื่อไปเป็นเจ้านาย
ขณะที่ น.ส.วทันยา กล่าวว่า วันที่ 14 พ.ค.นี้ จะเป็นวันที่อำนาจจะกลับมาอยู่ในมือของประชาชนอีกครั้ง เมื่อสักครู่ได้ยินพี่น้องสัญญาว่า คนสุพรรณบุรีจะเปลี่ยน ที่ผ่านมาหลายครั้งที่ได้พูดคุยกับพี่น้อง หลายคนบอกว่า เมื่อพูดถึงการเมืองใหญ่มันดูเป็นเรื่องไกลตัว หลายคนสงสัยว่าเลือกตั้งไปแล้วจะเปลี่ยนอะไรได้หรือไม่ เลือกไปแล้วชีวิตจะดีขึ้นหรือไม่
แต่ตนอยากจะบอกกับทุกคนว่า การเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด เพราะการเลือก ส.ส.นั้น เพื่อให้เขาไปเป็นตัวแทน ไปเป็นปากเป็นเสียงแทนเราในสภา และตนกล้ายืนยันได้ว่า ตลอด 4 ปีที่ได้ทำงานอยู่ในสภา ส.ส.เปลี่ยนแปลงและช่วยประชาชนให้มีชีวิตดีขึ้นได้จริง
“เราจึงต้องไปเลือกตั้ง เพราะถ้าเราอยากจะเปลี่ยนอนาคตของเราให้ดีขึ้น เราเริ่มต้นได้ด้วยการเลือก ส.ส. เลือกตัวแทนที่ดีเข้าไปเป็นปากเป็นเสียง เข้าไปตัวแทนพวกเราในสภา ดังนั้น วันนี้อยากจะขอโอกาสให้ นายภานรินทร์ คนรุ่นใหม่ที่มีใจอยากจะเปลี่ยนแปลง คนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยพลัง และที่สำคัญเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ”
น.ส.วทันยา กล่าวด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ทำนโยบายแบบลดแลก แจกแถม ไม่ทำนโยบายแบบประชานิยม เพราะรู้ว่าการทำนโยบายที่เอาเงินมาแจกสุดท้ายไม่ได้อะไรกลับมา แต่นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ เรายึดประชาชนเป็นหลัก เพราะเราทำมาจากประชาชน คิดร่วมกับประชาชน ทำเพื่อประชาชน
และที่สำคัญทุกนโยบายเราทำด้วยความรับผิดชอบ ไม่ทิ้งภาระไว้ให้ลูกหลานในวันข้างหน้า อีกทั้งนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์นั้น เป็นนโยบายที่ต้องการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันให้กับพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็น นโยบายกองทุนหมู่บ้านละ 2 ล้านบาท ที่จะเป็นแหล่งทุนให้พี่น้องได้นำไปตั้งต้นในการประกอบอาชีพ หรืออาจจะนำไปชำระหนี้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยโคตรแพง
และอีกนโยบายที่สำคัญ คือ นโยบายการศึกษา ที่พรรคประชาธิปัตย์เราได้มีการดำเนินนโยบายด้านการศึกษามาโดยตลอด เพราะเรามองว่าการให้การศึกษา คือ การให้อนาคตที่ดีที่สุด
“ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์เราได้ทำเรื่องให้เด็กดื่มนมฟรี อาหารกลางวันฟรี และให้เรียนฟรี 15 ปี แต่ในครั้งนี้เราได้เพิ่มให้ด้วยการให้ลูกหลานทุกคนได้เรียนฟรีจนถึงระดับปริญญาตรี เพราะการที่ได้เรียนถึงปริญญาตรีนั้นจะทำให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
นอกจากนี้ หลังจบเวทีปราศรัย น.ส.วทันยา พร้อมด้วย นายภานรินทร์ และนายวัชระ ได้เดินทางต่อไปยังตลาดสามชุก เพื่อพบปะพ่อค้าแม่ค้า และพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาท่องเที่ยวจับจ่ายซื้อของ ก่อนจะเดินทางต่อไปยังอนุสรณ์แดนยุทธหัตถีดอนเจดีย์ เพื่อสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช แล้วเดินทางต่อไปยังตลาดสดเมืองทองดอนเจดีย์ เพื่อทักทายพ่อค้าแม่ค้าและประชาชน ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้ายของ นายพงศกร ขวัญเมือง ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตคลองเตย-วัฒนา ในช่วงเย็นวันนี้