"ส.อ.ท." แนะรัฐบาลใหม่เร่งแก้ปัญหาค่าครองชีพ ลดค่าไฟ

15 พ.ค. 2566 | 09:23 น.
อัปเดตล่าสุด :15 พ.ค. 2566 | 09:23 น.

"ส.อ.ท." แนะรัฐบาลใหม่เร่งแก้ปัญหาค่าครองชีพ ลดค่าไฟ หลังหนี้ครัวเรือนของไทยสูงมาก พร้อมเสนอ 6 มาจตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ปัญหาในการดำเนินธุรกิจ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า นโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเร่งทำคือการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ซึ่งขณะนี้หนี้ครัวเรือนของไทยสูงมาก ท่ามกลางราคาพลังงานโดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่แพง 

ทั้งนี้ หากมองเบื้องต้นนโยบายที่หาเสียงไว้ของก้าวไกล และเพื่อไทยที่เหมือนกันคือ การดูแลราคาพลังงานโดยเฉพาะการมีเป้าหมายที่จะลดค่าไฟลงจึงเป็นสิ่งที่จะถูกจับตามองใกล้ชิดว่าจะทำได้หรือไม่อย่างไร  

นอกจากนี้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั้ง 2 พรรคก็มีแนวทางคล้ายคลึงกันโดยเพื่อไทยจะขึ้นเป็น 600 บาทต่อวันในปี 2570 ขณะที่ก้าวไกลนั้นขึ้นทันที 450 บาทต่อวัน และปรับทุกปีซึ่งนับเป็นการขึ้นแบบก้าวกระโดด และก้าวข้ามการพิจารณาของคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) 

ดังนั้นคงจะต้องติดตามว่าจะมีมาตรการอะไรมาเยียวยาผลกระทบให้กับกลุ่มที่ใช้แรงงานเข้มข้น และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี (SMEs)หรือไม่

"มองว่าการหาเสียงแบบประชานิยม แจกเงิน แบบเก่าประชาชนมีบทเรียนว่าทำไม่ได้จริงและไม่มีแหล่งที่มาของเงิน ดังนั้นจากนี้นโยบายต่างๆ ที่หาเสียงไว้ของพรรคที่เป็นรัฐบาลจะถูกประชาชนติดตามใกล้ชิดซึ่งต้องทำได้จริงๆ และที่มาของเงินชัดเจนด้วย"

สำหรับข้อเสนอของภาคเอกชนนั้นคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ได้จัดทำข้อเสนอต่อพรรคการเมืองให้ทราบถึงความต้องการของภาคเอกชน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ปัญหาในการดำเนินธุรกิจไปแล้วหลักๆ 6 ข้อได้แก่ 

  • การยกระดับขีดแข่งขันประเทศ 
  • การปฏิรูปกฏหมายที่ล้าสมัย 
  • การส่งเริมให้ไทยเป็นฮับเทคโนโลยี 
  • การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน 
  • การสนับสนุนเอสเอ็มอี 
  • การขับเคลื่อนเศรษฐกิจBCG

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค. 66 ได้ชี้ให้เห็นถึงวิวัฒนาการของการเมืองไทยที่พัฒนาไปอีกระดับหนึ่ง ประชาชนมีการตื่นตัวมากขึ้นและต้องการการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้ก้าวไกลได้รับคะแนนเสียงสูงสุดและเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลที่จะรวมกับพรรคเพื่อไทยที่ได้รับคะแนนมาเป็นอันดับ 2 ดังนั้นภาคเอกชนจึงต้องการเห็นการจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุดและที่สำคัญต้องมีเสถียรภาพเพราะหากรัฐบาลไม่มั่นคงจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศได้

“รัฐบาลต้องเร่งตั้งให้เร็วที่สุดยิ่งช้าก็ยิ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นและคะแนนเสียงของรัฐบาลต้องมีมากพอเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองง่ายและเราเองก็ไม่อยากเห็นการประท้วงบนถนนหากมีปัญหาจะกระทบท่องเที่ยวที่จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจในปีนี้อีก  โดยส.อ.ท.พร้อมทำงานร่วมกับทุกรัฐบาลที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปด้วยกัน"

นอกจากนี้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ควรจะต้องเป็นทีมที่มีประสบการณ์การแม้ว่ากรณีที่พรรคก้าวไกลอาจจะไม่มีแต่ก็ต้องดึงคนรุ่นใหม่ๆมาร่วมคิด และทำงานเป็นทีมไปในทิศทางเดียวกัน ที่สำคัฐต้องทำงานร่วมกับภาคเอกชนโดยเฉพาะภายใต้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) 

และหน่วยงานรัฐต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่น กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ฯลฯ เพราะท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่แบ่งเป็น 2 ขั้วระหว่างสหรัฐและสหภาพยุโรป(อียู) กับรัสเซียและจีนไทยต้องอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจที่เป็นคู่ค้าหลักอันดับ 1 และ 2 ทั้งคู่ให้ได้ดังนั้นการเดินเกมระหว่างประเทศจึงต้องเป็นไปด้วยความชาญฉลาด