สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ยังไม่มีท่าทีว่าจะยุติลงในเร็ววัน แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะลดการสนับสนุนทางการทหารแก่ยูเครน ในขณะที่สหภาพยุโรป (EU) ประกาศมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับยูเครน รวมถึงการอนุมัติเงิน เพื่อซื้อขีปนาวุธจำนวน 5,000 ลูก
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการอิสระด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน และการเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกในรายการ "เข้าเรื่อง" ทางช่อง YouTube ฐานเศรษฐกิจ
ดร.ปณิธาน กล่าวถึงสงครามที่ดำเนินมากว่า 2 ปี กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อสหรัฐฯ มีนโยบายลดการสนับสนุนทางการทหารแก่ยูเครน โดยล่าสุดได้มีคำสั่งระงับการส่งมอบอาวุธและการสนับสนุนอื่น ๆ ให้แก่กองทัพยูเครน ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) อนุมัติการช่วยเหลือด้านยุทโธปกรณ์เพิ่มเติม แต่ยังคงมีข้อสงสัยว่า อียูจะสามารถผลิตขีปนาวุธได้ทันกับความต้องการหรือไม่
เนื่องจากขีปนาวุธพิสัยไกลและระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครน ส่วนใหญ่มาจากสหรัฐฯ แต่เมื่อทรัมป์สั่งระงับการช่วยเหลือ ความสามารถในการป้องกันตัวของยูเครนจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากประเด็นทางทหารแล้ว สหรัฐฯมีเป้าหมายในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตนเองผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมหน้าของการค้าระหว่างประเทศจากระบบเขตการค้าเสรี (Free Trade) ไปสู่ การตอบโต้ทางภาษี (Retaliatory Tariffs)
"สหรัฐฯ ต้องการให้เศรษฐกิจของตนเองแข็งแกร่งที่สุด แม้จะต้องกดดันพันธมิตรทางการค้า" ดร.ปณิธานระบุ พร้อมเสริมว่า นโยบาย “America First” ของทรัมป์ อาจทำให้ระบบเศรษฐกิจโลกเกิดความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น
ประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกจับตามองคือ โอกาสในการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ หากไม่มีการควบคุมสถานการณ์
ประธานาธิบดีทรัมป์เคยกล่าวเองว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 อาจใกล้เข้ามา และประวัติศาสตร์ก็แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจมักนำไปสู่มหาสงคราม
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณที่น่ากังวล เช่น การติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธีในแนวรบ และการที่จีนและรัสเซียมีแนวโน้มรวมตัวกันเพื่อต่อกรกับสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหารขนาดใหญ่
ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ภายใน 1เดือน หากมีการเจรจาโดยที่รัสเซียประกาศยุติปฏิบัติการทางอากาศ และทางทะเลล่วงหน้าสักประมาณ 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขสำคัญคือ เซเลนสกี ต้องลงจากตำแหน่งปธน.ยูเครน ,ต้องไม่เรียกร้องให้มีการพูดถึงเรื่องนาโต้ ,ยูเครนต้องไม่มีการพูดถึงการคืนเชลย ,ไม่ต้องกล่าวถึงค่าเสียหาย รวมถึงพื้นที่กว่า 120,000 ตารางกิโลเมตรที่รัสเซียยึดไปแล้ว
ในระหว่างนี้ อาจมีการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าประจำการในแนวต้านใหม่ที่ต้องเจรจากัน โดยอาจมีทหาร 30,000 นายจากยุโรป และอีกหลายหมื่นนายจากสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เสียหายมากที่สุดก็คือยูเครน ซึ่งพวกเขาอาจไม่ยอมรับข้อตกลงนี้
หากยุโรปมีการประชุมร่วมกัน เช่นการประชุมในอังกฤษเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่าทั้ง 30 กว่าประเทศพันธมิตรพร้อมสู้จริง และเปิดเผยว่ากลุ่มพันธมิตรเฉพาะกิจคือใครบ้าง พร้อมทั้งส่งกำลังเข้าไปกดดันและวางกำลังทหารใน โปแลนด์และเยอรมนี ก็อาจทำให้รัสเซียต้องถอย แต่หากรัสเซียไม่ถอย สงครามโลกครั้งที่ 3 อาจเกิดขึ้นได้
จากสถานการณ์ทั้งหมด อาจสรุปได้ว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของสองประเทศ แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโครงสร้างอำนาจโลก ซึ่งส่งผลกระทบถึงไทยและประเทศอื่น ๆ ด้วย
เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศขนาดกลางที่ต้องพึ่งพาการค้าและการลงทุนจากทั้งสหรัฐฯ และจีน หากมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญ ไทยจะต้องเตรียมรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น