สื่อต่างประเทศรายงานความสำเร็จของ ภาพยนตร์เจมส์บอนด์ ตอนใหม่ล่าสุด “No Time to Die” ที่เปิดตัวในตลาดนอกสหรัฐอเมริกาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คว้ารายได้รวมที่ 313.3 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ตลาดสหรัฐทำสถิติรายได้ช่วงสุดสัปดาห์ที่เปิดตัว 56 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นรายได้เปิดตัวสูงที่สุดเป็นอันดับ 4 เมื่อเทียบกับบรรดาภาพยนตร์เจมส์บอนด์ภาคอื่นๆ ที่เคยมีมาตลอดช่วงเวลาเกือบ ๆ 60 ปีของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ชุด “เจมส์บอนด์”
ในวันศุกร์ (8 ต.ค.) ซึ่งเป็นรอบปฐมทัศน์ในสหรัฐ “No Time to Die” (หรือในชื่อภาษาไทย “พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ”) กวาดรายได้ 23.3 ล้านดอลลาร์ จากนั้นก็ทำรายได้ 18.1 ล้านดอลลาร์ในวันเสาร์ (9 ต.ค.) และคาดว่าจะได้ประมาณ 14.5 ล้านดอลลาร์ในวันอาทิตย์ (10 ต.ค.) สถิติยังชี้ว่า ผู้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงสุดสัปดาห์เปิดตัวในสหรัฐเกือบ 60% เป็นผู้ที่อยู่ในวัย 35 ปีขึ้นไป และ 36% อยู่ในวัยมากกว่า 45 ปี
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมภาพยนตร์คาดหมายว่ารายได้ของภาพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงสุดสัปดาห์ที่เปิดตัวในตลาดสหรัฐและแคนาดาอาจจะแตะ 80 ล้านดอลลาร์ หรือขึ้นไปถึง 100 ล้านดอลลาร์ก็เป็นได้ ซึ่งนับเป็นตัวเลขรายได้ที่แข็งแรงในยุคที่โควิด-19 ยังแพร่ระบาดอยู่
พอล เดอการาเบเดียน นักวิเคราะห์อาวุโสด้านสื่อ บริษัท คอมสกอร์ ให้ความเห็นว่า นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่จะทำรายได้พุ่งแรงแค่ในช่วงสุดสัปดาห์ที่เปิดตัว แต่การรอคอยและความคาดหวังของผู้ชมจะเป็นทำให้ภาพยนตร์“No Time to Die” สร้างสถิติใหม่ ๆ หลังจากที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 และมาตรการควบคุมโรคระบาดทำให้การเข้าฉายของภาพยนตร์ดังกล่าวต้องล่าช้าไปถึง 18 เดือน
ยอดการจองตั๋วล่วงหน้าสำหรับสุดสัปดาห์แรกที่เข้าฉายของภาพยนตร์ “No Time to Die” ในตลาดสหรัฐ ยังแซงหน้าสถิติเก่าของภาพยนตร์ Venom: Let There Be Carnage ที่เคยทำไว้ในฐานะภาพยนตร์ที่มียอดจองตั๋วล่วงหน้าสำหรับการฉายในช่วงสุดสัปดาห์แรกมากที่สุดในยุคที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย นั่นหมายถึงการสามารถเอาชนะอุปสรรคสำคัญที่เป็นความท้าทาย คือการจูงใจให้ผู้คนออกจากบ้านมาชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์กันอีกครั้ง
(ขอบคุณภาพจาก ยูนิเวอร์แซลพิกเจอส์)
นักวิเคราะห์เชื่อว่า ผู้ชมซึ่งเป็นคนวัยผู้ใหญ่มักจะไม่ค่อยเร่งรีบมาดูภาพยนตร์ที่ชื่นชอบภายในช่วงสุดสัปดาห์แรกที่เข้าฉาย โดยเฉพาะในช่วงที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ ผู้ชมวัยผู้ใหญ่ซึ่งเป็นผู้ชมกลุ่มหลักของภาพยนตร์ชุดเจมส์บอนด์มีแนวโน้มจะไม่รีบร้อนออกมาชมภาพยนตร์ในโรงหนัง จากข้อมูลของโรงภาพยนตร์ในเครือเอ็มจีเอ็ม พบว่า ประมาณ 25% ของผู้เข้าชมภาพยนตร์“No Time to Die” ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสุดสัปดาห์แรกของการเข้าฉาย ระบุว่า นี่เป็น “ครั้งแรก” ในช่วงเวลามากกว่าปีครึ่ง (18 เดือน) ที่พวกเขาออกจากบ้านมาดูหนังในโรงภาพยนตร์
“การเปิดตัวอย่างแข็งแกร่งของภาพยนตร์เจมส์บอนด์ตอนใหม่ล่าสุดนี้ ยังคงบ่งบอกถึงแรงดึงดูดที่ยืนยงคงกระพันของภาพยนตร์ชุดเจมส์บอนด์ และยังสะท้อนให้เห็นว่าผู้คนให้ความสนใจผลงานเรื่องสุดท้ายที่แดเนียล เครก จะแสดงให้กับภาพยนตร์ชุดนี้” ชอว์น ร็อบบินส์ หัวหน้านักวิเคราะห์ของเว็บไซต์ Boxoffice.com ให้ความเห็นทิ้งท้าย