ในช่วงต้นสัปดาห์ ราคาบิตคอยน์ พุ่งแรงต่อเนื่องก่อนที่จะเริ่มปรับลดลงในวันศุกร์ (22 ต.ค.) โดยก่อนหน้านั้น บิตคอยน์ พุ่งขึ้นไปใกล้ทะลุระดับ 67,000 ดอลลาร์ จ่อแตะ 2,250,000 บาทเมื่อวันพุธ ( 20 ต.ค.) หลังทุบสถิติสูงสุดตลอดกาล ขานรับคำกล่าวของนายพอล ทิวดอร์ โจนส์ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ ซึ่งระบุว่า เขาชื่นชอบบิตคอยน์มากกว่าทองคำในฐานะเครื่องมือประกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
การพุ่งขึ้นทำลายสถิติของบิตคอยน์ ยังได้รับปัจจัยบวกจากการเปิดตัวกองทุน ETF บิตคอยน์เป็นครั้งแรกในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันอังคาร (19 ต.ค.) โดยในวันดังกล่าวบิตคอยน์พุ่งขึ้น 4.14% สู่ระดับ 66,932.50 ดอลลาร์ ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์ม Coinbase (อ่านเพิ่มเติม: เทรด ETF กองทุนแรก บิตคอยน์พุ่งเหนือ 63,000 ดอลล์ ใกล้ทุบสถิติสูงสุดตลอดกาล)
ก่อนหน้านี้ บิตคอยน์เคยทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 64,895 ดอลลาร์ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
นายพอล ทิวดอร์ โจนส์ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ ทิวดอร์ อินเวสเมนท์ คอร์ป. (Tudor Investment Corp.) กล่าวว่า เขาชื่นชอบบิตคอยน์มากกว่าทองคำในฐานะเครื่องมือประกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ "ผมชอบบิตคอยน์มากกว่าทองคำในขณะนี้ โดยบิตคอยน์สามารถเอาชนะทองคำได้อย่างชัดเจน" นายโจนส์กล่าวในรายการ Squawk Box ของสถานี CNBC เมื่อวันพุธ (20 ต.ค.) โจนส์เปิดเผยว่า เขาถือครองสกุลเงินดิจิทัลอยู่ไม่ถึง 10% ในพอร์ทการลงทุน
“เรากำลังมุ่งมาในทิศทางของโลกแห่งดิจิทัลมากขึ้น และเห็นได้ชัดว่ามีที่ยืนสำหรับเงินคริปโต และตอนนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่า เงินคริปโตนั้นน่าสนใจกว่าทองคำ” ข้อคิดเห็นนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทที่ตลาดมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อ นายโจนส์ยอมรับว่าเขามีความกังวลต่อเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยง “มากที่สุด” ต่อตลาดการเงินของสหรัฐ รวมทั้งต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐด้วย
สถิติที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า สกุลเงินดิจิทัลมักปรับตัวได้ดีในเดือนต.ค. โดยสามารถฟื้นตัวขึ้นหลังจากปรับตัวย่ำแย่ในเดือนก.ย. ซึ่งรูปแบบการปรับตัวของบิตคอยน์ในปีนี้ก็สอดคล้องกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต โดยบิตคอยน์ดิ่งลงอย่างหนักในเดือนก.ย.ปีนี้ ใกล้หลุดระดับ 40,000 ดอลลาร์ หลังจากที่จีนสั่งกวาดล้างการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์