สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มูลค่า บริษัท "เทสลา อิงค์" (Tesla Inc.) ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐ ตามการประเมินจากราคาตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงเกือบ 175,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 5.7 ล้านล้านบาท ขณะที่หุ้นของเทสลาร่วงหนักสุดในรอบ 14 เดือน ติดต่อกัน 2 วันรวดนับจากต้นสัปดาห์ (8 พ.ย.) หลังจากที่ นายอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้ก่อตั้งและนายใหญ่ของบริษัททวีตโยนหินถามทางเมื่อวันเสาร์ (6 พ.ย.) ส่งสัญญาณว่าจะขายหุ้นที่ตนเองถืออยู่ในเทสลาออกไปสัก 10%
ข่าวระบุว่า ภายในเวลาเพียง 2 วันที่ราคาหุ้นของเทสลาดิ่งลงติดต่อกันในช่วงต้นสัปดาห์ ความร่ำรวยของ “อีลอน มัสก์” มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่ได้ชื่อว่า “รวยที่สุดในโลก” ใน ทำเนียบ Bloomberg Billionaires Index ก็วูบหายไปทันที 50,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.6 ล้านล้านบาท!
แต่ราคาหุ้นของเทสลาที่ดิ่งลงครั้งนี้ เป็นความสูญเสียที่ทำให้ สำนวน“ขนหน้าแข้งไม่ร่วง” กระจ่างชัดขึ้นมาในบัดดล เพราะแม้กระนั้น อีลอน มัสก์ ก็ยังคงครองอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในทำเนียบ Billionaires Index ของบลูมเบิร์กอยู่ดี โดยเขายังคงมีทรัพย์สินมากกว่า นายเจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos) มหาเศรษฐีอันดับสองอยู่ถึง 83,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2.7 ล้านล้านบาท
ขนหน้าแข้งไม่ร่วงสักนิด
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ความมั่งคั่งที่หายไปในช่วงเวลาสองวันของอีลอน มัสก์ นายใหญ่ของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา ถือเป็นสถิติใหม่ของทำเนียบมหาเศรษฐี Billionaires Index ของบลูมเบิร์ก เป็นความสูญเสียในช่วงเวลาสองวันที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา นอกจากนี้ ยังเป็นความมั่งคั่งที่หดลดลง “มากที่สุดภายในวันเดียว” นับตั้งแต่ที่มีการจัดอันดับกันมา โดยครั้งที่หดแรงที่สุดก่อนหน้านี้ คือเมื่อคราวที่นายเจฟฟ์ เบซอส เจ้าพ่ออี-คอมเมิร์ช “แอมะซอน” หย่ากับภรรยาในปี 2561 ครั้งนั้นเบซอสจ่ายค่าหย่าให้อดีตภรรยาไป 36,000 ล้านดอลลาร์
มูลค่าหุ้นของเทสลาที่หายไปมากกว่า 10% ภายในช่วงเวลาสั้น ๆนั้น (หุ้นเทสลาร่วงลงมากถึง 12% เมื่อวันอังคาร หลังจากปรับตัวลดลงที่ 4.8% เมื่อวันจันทร์) มีต้นตอมาจากการที่นายมัสก์ออกมาทวีตขอความเห็นจากผู้ที่ติดตามทวิตเตอร์ของเขาเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า เขาควรจะขายหุ้นบริษัทเทสลาของเขาเองสัก 10% เพื่อเอาเงินมาจ่ายภาษีดีหรือไม่ ? เพราะตัวเขาเองนั้นโดนโจมตีว่าเสียภาษีน้อยเกินไปจากการที่เขาร่ำรวยมาจากสินทรัพย์ที่เป็นหุ้นเป็นส่วนใหญ่ จากนั้นก็ตามมาด้วยข่าวที่ว่า น้องชายของมัสก์ก็ขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทเหมือนกันก่อนที่เขาจะมาทวีตขอความเห็นเสียอีก
เท่านั้นยังไม่พอ ที่ช่วยย้ำซ้ำเติมให้เรื่องราวทั้งหมดดูย่ำแย่เข้าไปอีก คือการออกมาให้ความเห็นของนายไมเคิล เบอร์รี นักลงทุนที่มีชื่อเสียงรายหนึ่งที่ออกมาให้ความเห็นผ่านสื่อว่า มัสก์อาจจะอยากขายหุ้นเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้สินส่วนตัว
การร่วงลงของหุ้นเทสลาครั้งนี้ ทำให้สินทรัพย์ของมัสก์หายไป 50,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ความมั่งคั่งของเขาห่างจากมหาเศรษฐีอันดับสองอย่างเจฟฟ์ เบซอส น้อยลงโดยตอนนี้ความรวยของเศรษฐีทั้งสองห่างกันเพียง 83,000 ล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านี้ เบซอส เจ้าพ่อแอมะซอน (Amazon.com Inc.) ครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกในทำเนียบอภิมหาเศรษฐีของบลูมเบิร์ก แต่อีลอน มัสก์ ก็เบียดแซงขึ้นมาสำเร็จคว้าอันดับหนึ่งไปครองเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ในช่วงที่สองตำแหน่งห่างกันมากที่สุดนั้น คือมัสก์รวยนำเบซอสอยู่ 143,000 ล้านดอลลาร์ ถามว่ามากแค่ไหน ก็เอาเป็นว่าแค่ส่วนต่างความรวยของมหาเศรษฐีคู่นี้ ยังมากกว่าสินทรัพย์สุทธิที่นายบิลเกตส์ (Bill Gates) มหาเศรษฐีอันดับสี่ของโลกในปัจจุบันครอบครองอยู่ (เกตส์เองก็เคยเป็นบุคคลร่ำรวยอันดับหนึ่งของโลกมาแล้ว)
ทวีตเดียวหุ้นร่วง 10% ในเวลาไม่ถึง 10 นาที
อีลอน มัสก์ สร้างความประหลาดใจให้เหล่าผู้ติดตาม (follower) ทวิตเตอร์ของเขาที่มีจำนวนมากกว่า 62.8 ล้านคน ด้วยการทวีตเมื่อคืนวันเสาร์ (6 พ.ย.) ขอความเห็นว่า เขาควรขายหุ้นของตัวเองที่ถืออยู่ในบริษัทเทสลา ออกไปสัก 10% ดีหรือไม่ โดยเขาบอกว่า พร้อมจะยอมรับผลของการสอบถามความเห็นครั้งนี้ แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเขาจะขายหุ้นเมื่อไหร่หรือด้วยวิธีใด
ข้อเสนอดังกล่าวของมัสก์มีออกมาภายหลังสมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสเสนอให้จัดเก็บภาษีพวกเศรษฐีที่ร่ำรวยล้นฟ้าให้มากขึ้น ด้วยการพุ่งเป้าที่การถือหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งตามปกติแล้วจะเสียภาษีก็ต่อเมื่อมีการขายหุ้น มัสก์เคยออกความเห็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอดังกล่าวเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา โดยเขาทวีตว่า "พวกเขาดูดเงินของคนอื่นเกลี้ยงแล้ว และในที่สุดพวกเขาก็มาหาคุณ"
อีลอน มัสก์ ปกป้องตัวเองว่า เขาไม่ได้รับเงินเดือนหรือโบนัสจากบริษัทต่างๆ ที่เขาบริหารหรือถือหุ้นอยู่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เขาไม่มีรายได้ที่จะต้องจ่ายภาษีเงินได้ "ผมมีแต่หุ้น ฉะนั้น วิธีเดียวที่ผมจะจ่ายภาษีส่วนบุคคลได้คือการขายหุ้น" มัสก์ทวีต
ภายหลังการสอบถามความเห็นของผู้ติดตาม ผลที่ออกมาในวันจันทร์(8 พ.ย.) พบว่า มีผู้ออกมาแสดงความเห็นมากกว่า 3.5 ล้านคน โดยมี 57.9% ตอบว่า เห็นด้วยที่จะให้เขาขายหุ้นในเทสล่า 10% ทั้งนี้ ข้อมูลของบลูมเบิร์กระบุว่า มัสก์ถือหุ้นเทสลาอยู่ประมาณ 17% (ข้อมูลถึงวันที่ 30 มิถุนายน 64) ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 208,370 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากเขาขายหุ้น 10% ทางทฤษฎีมัสก์จะได้เงินไม่ถึง 21,000 ล้านดอลลาร์
ข่าวระบุว่า เมื่อวันจันทร์ (8 พ.ย.) มีช่วงที่หุ้นเทสล่าปรับลดลง 10% อย่างรวดเร็ว ทำให้สินทรัพย์ของมัสก์วูบหายไปราว 6.5 แสนล้านบาทภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที โดยราคาหุ้นเทสลาปรับตัวลงจากระดับ 1,150 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ระดับ 1,035 ดอลลาร์ เป็นมูลค่าที่หายไป 115 ดอลลาร์ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที และถ้าหากจะคำนวณจากมูลค่าหุ้นที่มัสก์ถืออยู่ในเทสลา 170 ล้านหุ้น มูลค่าหายไปหุ้นละ 115 ดอลลาร์ ก็เท่ากับว่าภายใน 10 นาทีนั้น มูลค่าสินทรัพย์ของเขาหายวับไป 19,550 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 6.39 แสนล้านบาท
สำหรับผู้ที่เป็นห่วงสถานะความร่ำรวยของนายมัสก์ บลูมเบิร์กเผยว่า นอกจากหุ้นเทสลาแล้ว มัสก์ยังมีหุ้นในบริษัทต่างๆ มากมายที่เขาก่อตั้งไว้หรือเป็นผู้บริหาร เช่นบริษัท นูราลิงค์ ผู้สรร์สร้างนวัตกรรมด้านประสาทเทคโนโลยี และบริษัทสเปซเอ็กซ์ ที่กำลังมุ่งบุกเบิกยานสำรวจอวกาศเพื่อการท่องเที่ยว ดังนั้น มัสก์จึงยังคงครองตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยทรัพย์สินสุทธิราว ๆ 338,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 11 ล้านล้านบาท
แต่สำหรับคนอื่น ๆที่ถือหุ้นของเทสล่า ถึงแม้ยังไม่มีใครรู้ว่านายมัสก์จะขายหุ้นออกมาวันไหน และจะขายให้ใคร อย่างไร แต่ก็เชื่อได้ว่าผลของการขายหุ้น10% ของที่มัสก์ถืออยู่ ย่อมจะส่งผลลบต่อราคาหุ้นเทสลาอย่างแน่นอน เพียงแค่ข่าวที่ออกมาก็ทำให้เกิดการเทขายและราคาหุ้นก็ปรับร่วงลงต่อเนื่องทั้งในวันจันทร์และอังคาร ทำให้นายแลร์รี เอลลิสัน (Larry Ellison) ผู้ก่อตั้งบริษัท ออราเคิล คอร์ป. ซึ่งเป็นบุคคลที่ถือหุ้นเทสล่ามากเป็นอันดับสอง สูญไปแล้ว 2,100 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เคธี วูด ผู้บริหารกองทุนการลงทุน ARK Investment Management ที่ขายหุ้นเทสลาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นอีกคนที่เห็นมูลค่าสินทรัพย์ในมือหายไปกับตามากกว่า 750 ล้านดอลลาร์
รัสส์ โมลด์ นักวิเคราะห์จากเอเจ เบลล์ กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า การโยนหินถามทางบนทวิตเตอร์ส่งสัญญาณอย่างมีประสิทธิภาพว่า มัสก์กำลังมีแผนจะเทขายหุ้นในตลาด ซึ่งในทางเทคนิคเรียกว่า เป็นส่วนเกินของตลาด และเป็นสิ่งที่มักจะกดให้ราคาหุ้นต่ำลง
โมลด์ยังให้ความเห็นว่า อีลอน มัสก์ รวยมากจนไม่ได้สนใจเลยว่า การกระทำของเขาจะส่งผลต่อราคาหุ้นเทสลาหรือไม่ แต่ทั้งนี้ ในฐานะผู้บริหาร มัสก์มีหน้าที่จะต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นด้วย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำในสถานการณ์ล่าสุดนี้ เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้การประเมินมูลค่าของบริษัทเทสลาไม่เสถียร และโดยทั่วไปแล้วการเทขายหุ้นของคนวงในมักถูกมองเป็นสัญญาณเชิงลบ
ข้อมูลอ้างอิง