มาตรการล็อกดาวน์ ที่ประกาศโดย รัฐบาลออสเตรีย ครั้งนี้ จะกระทบประชาชนชาวออสเตรียจำนวน 2 ล้านคนจากทั้งหมด 8.9 ล้านคน แต่ไม่มีผลบังคับใช้กับเยาวชนอายุต่ำกว่า 12 ปี เนื่องจากเด็กวัยดังกล่าวยังไม่สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดอย่างเป็นทางการ ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนหากฝ่าฝืนมาตรการล็อกดาวน์ อาจถูกปรับสูงถึง 1,450 ยูโร (1,660 ดอลลาร์)
โดยประกาศดังกล่าว ห้ามมิให้คนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปออกจากบ้าน เว้นแต่จะออกไปทำกิจกรรมขั้นพื้นฐาน เช่น
มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศตั้งแต่เที่ยงคืนของวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ย. เป็นต้นไป เพื่อรับมือกับยอดผู้ติดเชื้อและยอดผู้เสียชีวิตที่พุ่งสูงขึ้น
นอกจากนี้ ทางการออสเตรียยังมีข้อกังวลว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่เป็นอยู่ บุคลากรในโรงพยาบาลจะไม่สามารถรับมือกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่หลั่งไหลเข้ามาได้อีกต่อไป
นายอเล็กซานเดอร์ ชานเลนแบร์ก นายกรัฐมนตรีออสเตรียเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในกรุงเวียนนาเมื่อวานนี้ (14 พ.ย.) ว่า ในฐานะที่รัฐบาลออสเตรียมีหน้าที่ปกป้องประชาชน ดังนั้น จึงตัดสินใจว่าเริ่มตั้งแต่วันจันทร์นี้เป็นต้นไป (15 พ.ย.) จะมีการล็อกดาวน์สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
พร้อมกันนี้ยังเสริมว่า จะดำเนินการล็อกดาวน์เป็นเวลา 10 วัน และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกลาดตระเวนเพื่อตรวจค้นประชาชนที่ออกมาข้างนอกว่าได้ฉีดวัคซีนแล้วหรือไม่ และจะเสริมกองกำลังตำรวจเข้าหน่วยลาดตระเวนเพิ่มเติม
มาตรการล็อกดาวน์เฉพาะกลุ่มของออสเตรียครั้งล่าสุดนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดรอบใหม่ในยุโรปหลายประเทศ ซึ่งทำให้ยุโรปกลายเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อีกครั้ง ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในยุโรปช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งของจำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ยทั่วโลกในรอบ 7 วัน และมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดราวครึ่งหนึ่งด้วย ซึ่งนับเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมาซึ่งไวรัสโควิด-19 ระบาดสูงสุดครั้งแรกในประเทศอิตาลี