ข้อมูลของ รัฐบาลสหรัฐอเมริกา เปิดเผยต้นสัปดาห์นี้ (7 ธ.ค.) ชี้ให้เห็นว่า ชาวอเมริกัน หลั่งไหลเข้ารับการ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มกระตุ้น หรือ วัคซีนบูสเตอร์ ในอัตราที่มากเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่ความวิตกเกี่ยวกับการตรวจพบ เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ที่แพร่กระจายได้ไว กระตุ้นให้ประชาชนหลายล้านคนแห่ฉีดวัคซีน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ประชาชนเฉียดหนึ่งล้านคนต่อวันได้เดินทางเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นซึ่งทางการสหรัฐอนุมัติใช้งานทั้งสิ้น 3 ตัวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่หน่วยงานกำกับดูแลกฎระเบียบสหรัฐได้อนุมัติการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ประชากรวัยผู้ใหญ่บางกลุ่มเพิ่มขึ้นในเดือนก.ย.
นายเจฟฟ์ เซียนท์ส ผู้ประสานงานด้านการรับมือกับไวรัสโควิด-19 ประจำทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประชาชนเกือบ 7 ล้านคนเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยมีผู้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นวันละประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งมากกว่าที่เคยเป็นมา และในขณะนี้มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปซึ่งมีสิทธิ์เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้น ได้รับวัคซีนดังกล่าวแล้วประมาณ 55%
นอกจากนี้ นายเซียนท์สยังระบุด้วยว่า สหรัฐได้ดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนรวมทั้งสิ้น 12.5 ล้านโดสในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.
ด้านศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐ ได้ระบุว่า ขณะนี้ประชากรราว 47 ล้านคนในสหรัฐได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 25% ของประชากรวัยผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วในประเทศ
ขณะเดียวกัน นายบิล เกตส์ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง บริษัทไมโครซอฟท์ และ ประธานมูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ (Bill & Melinda Gates Foundation) ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการกระจายและฉีดวัคซีนให้แก่ประชากรโลกอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2564 ว่า จะไม่คลี่คลายอย่างที่เขาคาดหวังไว้
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นายเกตส์ได้โพสต์บนเว็บบล็อกของเขาเมื่อวันอังคาร (7 ธ.ค.) ระบุว่า เนื่องจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในปีนี้มากกว่าในปี 2563 รวมถึงการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา และอุปสรรคต่าง ๆ ในการระดมฉีดวัคซีน ทำให้ความคืบหน้าไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ "ผมประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไปในแง่ที่ว่า เป็นเรื่องยากที่จะโน้มน้าวให้คนหันมาฉีดวัคซีนและสวมหน้ากากอนามัยกันต่อไป"
อย่างไรก็ดี บิล เกตส์ ได้แสดงมุมมองที่เป็นบวกสำหรับปีหน้า ( 2565) โดยระบุว่า การระบาดของโควิด-19 ที่ลุกลามรุนแรงจะสิ้นสุดลง ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของปีหน้า โดยการคาดการณ์ของนายเกตส์นั้นมีขึ้นในช่วงที่ทั่วโลกกำลังรับมือกับ “โอมิครอน” ซึ่งเป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันการตรวจพบใน 57 ประเทศทั่วโลก (ข้อมูล ณ 9 ธ.ค.64) ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิดโดยรวมในสหรัฐใกล้แตะ 50 ล้านราย
นายเกตส์ระบุว่า เชื้อไวรัสโอมิครอนนั้นน่ากังวล แต่สิ่งที่เรารู้ตอนนี้ก็คือ โลกเตรียมพร้อมรับมือสายพันธุ์ที่มีแนวโน้มรุนแรงได้ดีขึ้นกว่าการระบาดในช่วงอื่น ๆ ที่ผ่านมา เขายังคาดการณ์ว่า แม้การติดเชื้อโควิด-19 จะมีโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่าโรคไข้หวัดใหญ่ถึง 10 เท่าก็ตาม แต่วัคซีนและยาต้านไวรัสอาจลดการเสียชีวิตลงได้ 50%
"ชุมชนต่าง ๆ จะยังพบการระบาดอยู่บ้าง แต่ยาตัวใหม่ที่จะออกมาจะสามารถใช้รักษาผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้ และโรงพยาบาลก็จะสามารถรองรับผู้ป่วยได้เช่นกัน" นอกจากนี้ เกตส์ยังพูดถึงเรื่องการบิดเบือนข้อมูลซึ่งส่งผลให้ผู้คนไม่อยากฉีดวัคซีน โดยเขาแสดงความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของรัฐบาลในการทำภารกิจใหญ่ให้ลุล่วง พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการออกกฎระเบียบเพื่อควบคุมการใช้งานโซเชียลมีเดียด้วย