บริษัทโมเดอร์นา อิงค์ เปิดเผยวานนี้ (20 ธ.ค.) ว่า การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ขนาด 50 ไมโครกรัมของบริษัท จะช่วยให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต้านไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” เพิ่มขึ้น 37 เท่า เมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม
นอกจากนี้ หากมีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ขนาด 100 ไมโครกรัมจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโอมิครอนเป็น 83 เท่า
ผลการทดลองดังกล่าวมาจากการทดสอบกับอาสาสมัครที่ฉีดวัคซีน 50 ไมโครกรัมและ 100 ไมโครกรัมจำนวน 20 รายในแต่ละกลุ่ม โดยมีการวัดระดับแอนติบอดีในวันที่ 29 หลังการฉีดวัคซีน
ขณะเดียวกัน โมเดอร์นากำลังทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มที่ 3 ที่มีปริมาณมากกว่า 100 ไมโครกรัมในการสร้างภูมิต้านทานโอมิครอน ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติการฉีดวัคซีนเพียง 50 ไมโครกรัมในขณะนี้
โมเดอร์นายังเปิดเผยว่า บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาวัคซีนสูตรพิเศษที่จะต้านทานสายพันธุ์โอมิครอนเป็นการเฉพาะ โดยคาดว่าจะเริ่มการทดลองกับมนุษย์ในต้นปีหน้า (2565)
ข่าวดีดังกล่าวมีผลทำให้ราคาหุ้นของโมเดอร์นาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย ณ เวลา 20.40 น.ตามเวลาไทยวานนี้ (20 ธ.ค.) ราคาหุ้นโมเดอร์นาพุ่งขึ้น 7.53% สู่ระดับ 317.50 ดอลลาร์ นับเป็นการพุ่งขึ้นที่สวนทางกับตลาดในภาพรวมที่กำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดโอมิครอน โดยในช่วงการซื้อขายระหว่างวันเมื่อวันจันทร์ (20 ธ.ค.) ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงกว่า 300 จุด บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวลงอีก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน และการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ณ เวลา 19.28 น.ของวันที่ 20 ธ.ค. ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 368 จุด หรือ 1.04% สู่ระดับ 34,884 จุด หลังจากที่มีข่าวนายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาว ออกมาเปิดเผยว่า โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้แพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว และสหรัฐกำลังเผชิญปัญหาจากการที่มีประชาชนจำนวนมากยังคงไม่เข้ารับการฉีดวัคซีน
นักวิเคราะห์ทางการเงินต่างมีความกังวลต่อแนวโน้มตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในช่วงปลายปีนี้ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
นายไมเคิล เอโรน หัวหน้านักวิเคราะห์ของสเตท สตรีท โกลบอล แอดไวเซอร์ ให้ความเห็นว่า การคาดการณ์เรื่องซานต้าแรลลี่ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นของตลาดในช่วงปลายปี สำหรับปีนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะตลาดได้ขึ้นมามากแล้ว นอกจากนี้ ปริมาณการซื้อขายจะเบาบางลง ซึ่งจะทำให้เกิดความผันผวนมากขึ้นในช่วงท้ายปี ขณะที่นักลงทุนมีความกังวลสูงเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ขณะที่นายเจฟฟ์ ไคลน์ท็อป หัวหน้านักวิเคราะห์จากชาร์ลส์ ชเวบ กล่าวว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปี64 วอลุ่มการซื้อขายจะลดน้อยลง ขณะที่ความผันผวนจะมีมากขึ้น และแม้อาจเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ซานต้าแรลลี่” แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าปริมาณการซื้อขายที่เบาบางจะทำให้ตลาดแกว่งตัวในช่วงขาลงเช่นกัน
"เป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ภาวะตลาดในช่วงปลายปี อันเนื่องจากปริมาณการซื้อขายที่ซบเซา และการขาดปัจจัยหนุนจากข่าวด้านเศรษฐกิจหรือข่าวภาคธุรกิจที่จะกระตุ้นตลาด ทำให้ดัชนีถูกขับเคลื่อนจากข่าวเกี่ยวกับโอมิครอนเป็นหลัก" นายไคลน์ท็อปกล่าว
ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ดิ่งลงเกือบ 2% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน และการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด